วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ห่วงโจ๋มุสลิมเชื่อไวน์ฮาลาล เหตุน้ำผลไม้ขวดคล้ายขายเกลื่อนปัตตานี

ยารีนา กาสอ โรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีเครื่องดื่มประเภทน้ำผลไม้บรรจุขวดที่มีลักษณะเหมือนขวดไวน์หลากหลายรูปแบบ วางจำหน่ายอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงเดือนรอมฎอน ซึ่งเป็นเดือนถือศีลอดของชาวมุสลิม โดยมีการเรียกติดปากว่าไวน์ฮาลาล ซึ่งเป็นที่นิยมดื่มในหมู่วันรุ่นมุสลิม ขณะที่ผู้นำศาสนาอิสลามแสดงความเป็นห่วงว่า อาจส่งผลให้เยาวชนมุสลิมเข้าใจผิดว่า ไวน์ซึ่งเป็นเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์สามารถดื่มได้ เพราะมีลักษณะขวดคล้ายกัน


นายอับดุลมานะ เจ๊ะและ เจ้าหน้าที่ฝ่ายกิจการฮาลาล ประจำสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี เผยถึงกรณีดังกล่าวว่า ตนไม่เห็นด้วยที่ทำบรรจุภัณฑ์น้ำผลไม้คล้ายขวดไวน์วางจำหน่าย โดยเฉพาะในเดือนรอมฎอม ซึ่งเป็นเดือนถือศีลอดของชาวมุสลิม เพราะจะเป็นการส่งเสริมให้ผู้บริโภค ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นเข้าใจผิดคิดว่า ไวน์หรือเครื่องดื่มมึนเมาอื่นๆ ชาวมุสลิมสามารถดื่มได้โดยไม่ขัดหลักการศาสนาอิสลาม เพราะมีรูปแบบขวดเครื่องดื่มคล้ายคลึงกัน

นายอับดุลมานะเผยต่อด้วยว่า สิ่งที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายกิจการฮาลาล ประจำสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี ทำได้มีเพียงการตรวจสอบและรับรองผลิตภัณฑ์ฮาลาล(การอนุมัติในหลักศาสนาอิสลาม)ที่ผลิตในจังหวัด หากมีรายงานว่ามีการใช้เครื่องหมายฮาลาลโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือมีสารที่ผิดหลักการอิสลามปนเปื้อน ฝ่ายกิจการฮาลาลจะเข้าไปตรวจสอบทันที และจะประชาสัมพันธ์ทางสถานีวิทยุหรือส่งเอกสารเร่งด่วนไปยังผู้นำศาสนาทั่วจังหวัดแจ้งให้ทราบว่า ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไม่ฮาลาล พร้อมทั้งแจ้งไปยังจังหวัดอื่นๆ ด้วย แต่สินค้าบางชนิดก็ควบคุมตรวจสอบไม่ได้ เพราะเป็นสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ

“การนำเข้าเครื่องดื่มน้ำผลไม้จากต่างประเทศ เป็นเรื่องธุรกิจมากกว่า โดยไม่ได้คำนึงถึงหลักศาสนาอิสลาม ว่าเป็นเครื่องดื่มที่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลามหรือไม่ ถือเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว โดยเฉพาะสังคมมุสลิม การทำรูปแบบขวดที่เหมือนขวดไวน์ ทำให้ฉุกคิดไม่ได้ว่า เครื่องดื่มชนิดนั้นมีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ด้วย” นายอับดุลมานะ กล่าว

“การจะทราบว่าเครื่องดื่มชนิดใดที่ชาวมุสลิมสามารถบริโภคได้โดยไม่ผิดหลักศาสนาหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการตรวจสอบว่า เครื่องดื่มชนิดนั้นๆ ผ่านกระบวนการหมักที่ก่อให้เกิดเป็นเชื้อจุลินทรีย์เหมือนแอลกอฮอล์หรือไม่ ซึ่งต้องใช้หลักเหตุผลประกอบว่า ถูกต้องตามหลักอิสลามและคนอิสลามสามารถดื่มได้หรือไม่” นายอับดุลมานะ กล่าว

นายอับดุลมานะ กล่าวว่า การทำบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มผลไม้ขวดคล้ายไวน์นั้น เป็นชุบุฮาต หรือสิ่งคลุมเครือ เคลือบแคลง สงสัย คล้ายๆ เป็นปัญหาที่ไม่รู้ว่าฮาลาลหรือฮะรอม(ตรงข้ามกับฮาลาล หมายถึงไม่อนุมัติในทางหลักศาสนาอิสลาม) จึงจำเป็นต้องรอการฟัตวา หรือ การวินิจฉัยของนักปราชญ์ทางศาสนาอิสลามก่อนว่า สินค้าชนิดนั้นไม่มีสารปนเปื้อนที่ผิดหลักอิสลามและสามารถบริโภคได้ และวินิจฉัยด้วยว่า การทำบรรจุภัณฑ์คล้ายบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มมึนเมานั้น ผิดหลักศาสนาด้วยหรือไม่

ขวดเหมือนไวน์

เจ้าของร้านค้าแห่งหนึ่งในจังหวัดปัตตานี เปิดเผยว่า ตนซื้อน้ำผลไม้ที่มีรูปแบบขวดลักษณะเหมือนขวดไวน์แถวด่านชายแดนไทย – มาเลเซีย จังหวัดสงขลา โดยเลือกซื้อน้ำผลไม้คละแบบ หลากรสชาติและสีสันแต่ละครั้งในปริมาณมาก เพื่อนำมาทำน้ำผลไม้ปั่นขาย ผู้บริโภคส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นที่ชอบดื่มน้ำผลไม้ที่มีความแปลกใหม่

เจ้าของร้านค้าคนเดิม เปิดเผยว่า ตนไม่ทราบว่าในจังหวัดปัตตานีมีน้ำผลไม้ประเภทนี้ขายที่ใดบ้าง เนื่องจากตนไม่ได้ขายเป็นขวด แต่นำมาทำน้ำผลไม้ปั่น และไม่ได้ทำเป็นธุรกิจขายตรง

“น้ำผลไม้ประเภทนี้ คิดว่ามุสลิมดื่มได้ เพราะมีตราสัญลักษณ์ฮาลาลปรากฎข้างขวด ไม่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม ไม่น่าจะผิดหลักศาสนาอิสลาม เพียงแต่มีลักษณะขวดคล้ายลักษณะขวดไวน์เท่านั้น” เจ้าของร้านค้าคนเดิม กล่าว

วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Dubes Saudi untuk Mesir Bantah Negaranya Danai Salafi dan Ikhwan

BERITA DUNIA
Rabu, 03/08/2011

Duta Besar Arab Saudi untuk Mesir, Ahmad Abdul Aziz Qatan, membantah laporan dari saluran berita TV Al-Arabiya pada Selasa kemarin (2/8) bahwa kerajaan Saudi mendanai gerakan Salafi Mesir, menambahkan bahwa klaim tersebut dapat mengakibatkan adaya perselisihan sektarian. Qatan juga bersikeras bahwa kerajaan Saudi sama sekali tidak memiliki link dengan jamaah Ikhwanul Muslimin.

"Bagaimana bisa Arab Saudi menghabiskan 40 miliar riyal Saudi [sekitar 10 miliar dolar] di Mesir tanpa ada penghitungan dan pengawasan?" tanya Qatan. Dia menambahkan bahwa setiap uang yang diberikan oleh Arab Saudi ke Mesir berjalan melalui jalur hukum yang sah.

Duta besar yang berbasis di Kairo ini juga membantah bahwa Arab Saudi bermaksud untuk menarik investasi dari Mesir. Qatan mengatakan bahwa rumor tersebut bertujuan menciptakan ketegangan antara kedua negara.

Selanjutnya, ia menegaskan bahwa Arab Saudi tidak melakukan langkah apa pun untuk mempengaruhi persidangan Mubarak atau revolusi di Mesir, menambahkan bahwa rakyat Mesir sendiri lah yang mampu untuk memulai sebuah revolusi.

Rusia Menjalin Hubungan dengan Ikhwanul Muslimin Mesir

BERITA DUNIA :
Rabu, 03/08/2011




Rusia telah menjalin kontak langsung dengan Ikhwanul Muslimin, salah satu kekuatan politik yang paling berpengaruh di Mesir pasca-revolusi yang berhasil menggulingkan Hosni Mubarak, kata kepala Departemen Kementerian Luar Negeri Timur Tengah dan Afrika Utara Sergey Vershinin Selasa kemarin (2/8), media Rusia melaporkan.

Kantor berita Rusia RIA Novosti mengutip pernyataan Verhinin yang mengatakan bahwa dia melihat tidak ada masalah untuk melakukan kontak dengan salah satu kekuatan politik utama di Mesir.

"Saya tidak tahu mengapa negara kita tidak dapat memiliki kontak dengan kekuatan-kekuatan yang dominan dalam politik hukum Mesir," kata Vershinin. Ia mengatakan Rusia telah menjalin hubungan dengan partai Kebebasan dan Keadilan, yang mewakili jamaah Ikhwanul Muslimin dalam kehidupan politik Mesir.

Media Rusia mencatat bahwa banyak pengamat di Rusia berharap partai Ikhwan, partai Kebebasan dan Keadialn bisa mencapai keberhasilan dalam pemilihan parlemen yang dijadwalkan akan diselenggarakan di Mesir pada bulan November mendatang.

Ikhwanul Muslimin sendiri dianggap sebagai organisasi teroris oleh banyak negara. Federasi hukum Rusia melarang cabang-cabang organisasi Ikhwan yang akan didirikan di negara ini.

วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Menteri Kehakiman: Mubarak akan Diadili di Akademi Polisi di Kairo


Sidang terhadap mantan Presiden Hosni Mubarak akan diadakan di Akademi Polisi di timur laut Kairo, menteri kehakiman Mesir mengatakan Sabtu kemarin (30/7).

Menteri Muhamed al-Guindi menyatakan bahwa persidangan akan dikoordinasikan dengan menteri dalam negeri untuk mengamankan persidangan dan mengatur masuknya pengacara, media dan keluarga mereka yang tewas dalam revolusi, menurut situs milik pemerintah Al-Ahram.

Mubarak direncanakan akan menghadapi persidangan pada tanggal 3 Agustus mendatang untuk tuduhan korupsi dan memerintahkan pembunuhan demonstran selama revolusi 25 Januari, di mana 850 orang tewas.

Kedua putra Mubarak, juga akan diadili hari itu, bersama dengan mantan Menteri Dalam Negeri Habib al-Adly dan enam pembantunya.

Pebisnis Hussein Salem akan diadili secara in absentia atas tuduhan pemborosan dana publik.

Guindi mengatakan pihak berwenang memindahkan lokasi persidangan dari Nasr City untuk alasan keamanan dan menolak rencana untuk mengadakan sidang di Sharm el-Sheikh

วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

‘ญี่ปุ่น–ไต้หวัน’คู่แข่งฮาลาลไทย ตั้งเป้าลุยลูกค้ามุสลิมจีน–อินเดีย

Thu, 2011-07-28
เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2554 ที่หอประชุมนานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ มีการประชุมวิชาการนานาชาติวิทยาศาสตร์ฮาลาล อุตสาหกรรมและธุรกิจ (WHASIB 2011) และงานแสดงสินค้าผลิตภัณฑ์ฮาลาลสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ (IMT–GT HAPEX 2011) โดยศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสถาบันฮาลาล มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์



ดร.วินัย ดะห์ลัน

ดร.วินัย ดะห์ลัน ประธานศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (HSC–CU) กล่าวในการสัมมนาว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีคู่แข่งในอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลที่น่ากลัวคือ ประเทศญี่ปุ่น และไต้หวัน ทั้งสองประเทศได้เตรียมพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาล เน้นลูกค้าในประเทศมยักษ์ใหญ่ที่มีประชากรนมุสลิมจำนวนมาก เช่น จีน อินเดีย และประเทศพัฒนาแล้วไทยจะเสียเปรียบในการผลิตอาหารฮาลาลแข่งกับญี่ปุ่นและไต้หวัน เพราะทั้ง 2 ประเทศนี้ มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีสูงกว่าไทย

ดร.วินัย กล่าวว่า ประเทศไทยอยู่ในกับดักของคำว่าประเทศที่มีรายได้ขนาดกลาง แต่ศักยภาพในการแข่งขันน้อยกว่าประเทศในกลุ่มเดียวกัน เพราะความด้อยกว่าในด้านเทคโนโลยี เมื่อเทียบกับประเทศ ญี่ปุ่น ยุโรป สำหรับประเทศในกลุ่มอาเซียน ที่มีศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาลในประเทศอินโดนีเซีย ประเทศมาเลเซีย ประเทศบรูไน และประเทศไทย และยังเตรียมเพิ่มศักยภาพในประเทศแถบอินเดีย บังกลาเทศ มองว่าเป็นแหล่งการค้าสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมฮาลาล

“ไต้หวันและญี่ปุ่นได้เชื่อมต่อกับศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาลของประเทศไทย เพื่อเตรียมสร้างอุตสาหกรรมฮาลาลในสองประเทศนี้ โดยเชิญตัวแทนของประเทศไทย ไปร่วมตรวจสอบความพร้อมของการเป็นประเทศอุตสาหกรรมฮาลาล” ดร.วินัยดะห์ลัน กล่าว

ดร.วินัย ยังกล่าวอีกว่า ญี่ปุ่นและไต้วันต่างเป็นห่วงอนาคตเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน ได้เสียตำแหน่งการส่งออกให้กับสาธารณรัฐประชาชนจีนไปแล้ว และกำลังจะเสียให้กับประเทศเกาหลีใต้ จึงกังวลว่าจะเสียลูกค้าในตลาดโลก สิ่งที่ประเทศญี่ปุ่นหวังในอนาคตคือ การรักษาตลาดอาหาร ในแง่ความมั่นคงด้านอาหาร จึงเล็งเห็นโอกาสมหาศาลในตลาดมุสลิม ลูกค้าที่สองประเทศเล็งเห็นเพื่อเป็นตลาดในอนาคตคือ มุสลิมในประเทศอินเดีย และประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน และมุสลิมในประเทศที่เจริญแล้ว

“MAHADAE MOHAMMAD นายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย ระหว่างปี 1981–2003 เคยนำเสนอว่า การมองอนาคตเพื่อการพัฒนาควรจะมองด้วยสายตาปกติ ในวงการเวชกรรมมุสลิมละเลยการพัฒนายาเพื่อมุสลิม ทำให้ต้องใช้ยาที่ฮารอม อย่างการฉีดวัคซีนจากหมูก่อนไปทำฮัจย์ นี่คือ FARDU KIFAYAH ของเภสัชกร ที่ต้องทำงานเพื่อลบล้างเรื่องนี้ให้ได้” ดร.วินัย กล่าว

ดร.วินัย กล่าวต่อไปว่า ในศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล มีการพัฒนาด้านนิติวิทยาศาสตร์ฮาลาล เพื่อการปฏิบัติการทดสอบอาหารฮาลาล เนื่องจากปัจจุบันมีปัญหาเรื่องความยุ่งยากในการตรวจสอบอาหารของชาวมุสลิมว่า ฮาลาลหรือใหม่ ในกระบวนการตรวจสอบ จำเป็นต้องใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถสร้างความกระจ่างได้ ถึงแม้ว่าอาหารนั้นจะไม่มีส่วนผสมที่เป็นฮารอม หรือสิ่งต้องห้ามตามหลักศาสนาก็ตาม แต่ความไม่ฮาลาลยังหมายรวมถึงการปนเปื้อนเชื้อโรคด้วย

ดร.วินัย กล่าวว่า ขณะนี้ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาลมีการคิดค้นระบบเพื่อการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ฮาลาล โดยจัดการข้อมูลผ่านระบบดิจิตอล ให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบความน่าเชื่อถือของตราฮาลาลได้ โดยการแสกนรหัสผ่านมือถือ เชื่อมต่อระบบกับฐานข้อมูล สามารถตรวจสอบแบบทวนลูกศรได้ ระบบนี้คือ S.I.L.K หรือ sariah compliant ICT Logistics control เป็นระบบที่เปลี่ยนจากระบบเอกสารเป็นระบบดิจิตอล นวัตกรรมที่คิดค้นเพื่อการตรวจสอบตราอาหารฮาลาล สร้างขึ้นมารองรับการแข่งขันกับโลกตะวันตก จึงต้องพร้อมที่จะแข่งขันด้านเทคโนโลยีด้วย

นายสว่างพงศ์ หมวดเพชร ผู้ดูแลระบบ HOST academy ของศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล กล่าวต่อที่สัมมนาว่า ในหลายประเทศพยายามสร้างและพัฒนาระบบการตรวจสอบเครื่องหมายฮาลาลออนไลน์ (halal checking online) เพื่อตรวจสอบผลิตภัณฑ์ที่มาจากต่างประเทศ สำหรับประเทศไทยกำลังเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างประเทศผ่านระบบนี้อยู่ โดยเฉพาะประกาศนียบัตรที่ยืนยันความฮาลาลที่ไม่เหมือนกันในแต่ละประเทศด้วย

ดร.ซาและห์ ตาลิบ อาจารย์มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา นำเสนอต่อที่ประชุมว่า ประชากรมุสลิมใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ประมาณ 2.15 ล้านคน ยังมีความคิดความเชื่อที่ยังคงความเป็นมุสลิมมลายูได้ดี เพราะไม่ผ่านการกรอบความคิดจากประเทศมหาอำนาจ ที่เข้ามาเปลี่ยนค่านิยมของประชากรในแถบนี้ ทำให้ไม่ต้องคำนึงถึงผลิตภัณฑ์ฮาลาลมากนัก

ดร.ซาและห์ กล่าวว่า สถานบริการอาหารในประเทศไทย ไม่ให้ความสำคัญกับอาหารฮาลาล ทำให้มุสลิมมุสลิมใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ไว้วางใจ จึงไม่รับประทานอาหารในโรงอาหารของคนต่างศาสนิก ต่างจากสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือประเทศอื่น ที่มีการรับประกันฮาลาลชัดเจน สามารถรับประทานได้ แม้จะเป็นอาหารในโรงอาหารของคนต่างศาสนิกก็ตาม

ดร.ซาและห์ กล่าวอีกว่า มุสลิมใน 3 จังหวดชายแดนภาคใต้ สามารถเป็นหน่วยผลิตอาหารหรือโรงงานอาหารฮาลาลสำหรับตลาดโลกได้ และยังเป็นสะพานเชื่อมระหว่าง Suwannabhuma countries หมายถึงประเทศไทยตอนบน ลาว พม่า เวียดนาม กัมพูชา และ melayu winisula ซึ่งหมายถึง มาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน สิงคโปร์ เป็นต้น ตรงนี้คือโอกาสของประเทศไทย
Faqir Muammad Anjur ตัวแทนองค์การการประชุมอิสลาม (OIC) จากประเทศปากีสถาน กล่าวต่อที่สัมมนาว่า นิยามของอาหารฮาลาลต้องเป็นอาหารที่ปลอดจากการปนเปื้น ตั้งแต่ในระดับของยีน ซึ่งในประเทศตะวันตกมีพัฒนาการด้านการตัดแต่งยีนสูงมาก การใช้กระบวนการวิทยาศาสตร์ในการพิสูจน์จึงต้องสูงขึ้น OIC ต้องมีความเข้มแข็งในการวิจัย เพื่อตรวจสอบผลิตภัณฑ์อย่างการตัดแต่งยีน ต้องแน่ใจว่า ไม่มีการปนเปื้อนจากยีนของหมู อย่างที่เคยตรวจเจอในผลิตภัณฑ์ไส้กรอกฮาลาลในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งปนเปื้อนยีนสัตว์ฮารอม อย่างหมูมาแล้ว

Prof. Dr.Veni Hadju นักวิชาการจากประเทศอินโดนีเซีย กล่าวถึงประสบการณ์เกี่ยวกับอาหารฮาลาลในประเทศอินโดนีเซียต่อที่สัมมนาว่า ถึงแม้อินโดนีเซียจะเป็นประเทศที่มีประชามุสลิมมากที่สุด แต่ความจริงรัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ฮาลาลเท่าที่ควร มีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับตราฮาลาลเพียง 10% ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดเกือบ 3,000 รายการ ทั้งที่ประชากรส่วนใหญ่ในประเทศอินโดนีเซีย ต้องการสินค้าที่มีเครื่องหมายฮาลาล

Prof. Dr.Veni Hadju กล่าวอีกว่า อินโดนีเซียเคยมีเรื่องราวใหญ่โต เมื่อมีตรวจสอบพบว่า อาหารที่ได้รับตราฮาลาลมีไขมันหมู ประเด็นนี้สร้างความโกรธแค้น จนคนทั้งประเทศลุกขึ้นมาประท้วง เจ้าของกิจการต้องจ่ายเงินร้อยล้านรูเปีย เพื่อให้สื่อกลบเกลื่อนเรื่องนี้ ผลิตภัณฑ์ที่ตรวจเจอไขมันหมูคือ สบู่ ยาสีฟัน และนม เป็นต้น ส่งผลชาวอินโดนีเซียลังเลที่จะซื้อสินค้า จนเกิดตรวจสอบสินค้าอย่างหนัก

“ถึงแม้ว่าชาวอินโดนีเซียจะมีประชากรมุสลิมมากที่สุดในโลก แต่ก็ไม่ได้ตระหนักในเครื่องหมายฮาลาลมากนัก จะมีกระแสประท้วงบ้างในช่วงที่มีการนำเสนอข้อมูลว่า พบการปนเปื้อนในอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่มีหมูปนเปื้อน” Prof. Dr.Veni Hadju กล่าว

ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน กล่าวเปิดงานว่า อุตสาหกรรมฮาลาลต้องไปได้ไกลกว่าที่ผ่านมา กลุ่มประเทศอาเซียนจะต้องร่วมกันผลักดันให้เป็นเรื่องของทุกคน ไม่ควรปล่อยให้เป็นเรื่องของมุสลิมอย่างเดียว เพราะเรื่องนี้ไม่ได้จำกัดแค่เพียงมุสลิมเท่านั้น ในอัลกุรอานระบุ “โอ้มนุษย์เอ๋ย จงบริโภคบนหน้าแผ่นดิน จากสิ่งที่เป็นอนุมัติและดี” (อัลบากอเราะห์ อายะห์ 168) สำหรับอาหารที่ดีและปลอดภัยภายใต้หลักคิด HALALAN TOYYIBAN ในความหมายของอิสลามก็คือ อาหารปลอดจากเชื้อที่ไม่ได้รับอนุญาตและดีที่สุด ฉะนั้นทุกคนต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแล ตนคาดว่าว่ากลุ่มประเทศอาเซียนจะคุยเรื่องนี้กันมากขึ้นในปี 2555

ดร.สุรินทร์ กล่าวอีกว่า หลังจากนี้พัฒนาการของอุตสาหกรรมฮาลาล จะกว้างกว่าเรื่องการผลิต หมายถึงจะมีการกล่าวถึงกระบวนการที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งการผลิต บรรจุภัณฑ์ จัดเก็บ ขนส่ง และการวางขายในร้าน ควรจะชัดเจนว่า เป็นโซนฮาลาล เพื่อความสบายใจของผู้บริโภคและความเป็นสาสกล

อารีด้า สาเม๊าะ โรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้

อยู่ก่อนแต่ง–ท้องวัยเรียน อีกหนึ่งปัญหาสังคมชายแดนใต้

“ตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา ทุกฝ่ายต่างหันไปเน้นการแก้ปัญหาด้านความมั่นคงและความปลอดภัย จนละเลยปัญหาสังคม โดยเฉพาะปัญหาที่กำลังคุกคามวัยรุ่นมุสลิม ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่นับวันจะรุนแรงยิ่งขึ้น”


เป็นคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของ “นายอับดุลเราะห์มัน มะมิงจิ” ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี


สอดคล้องกับข้อมูลของ “นายอับดุลมานะ เจ๊ะและ” เจ้าหน้าที่ฝ่ายฮาลาลและอบรมครอบครัวสุขสันต์ สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี ที่ระบุกับ “โรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้” ว่า สถิติการการหย่าร้างในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่ปี 2547 เพิ่มสูงขึ้น จากความไม่เข้าใจการใช้ชีวิตครอบครัว อันสืบเนื่องมาจากการเลือกคู่เองของคู่บ่าวสาว ซึ่งส่วนใหญ่มีต้นตอมาจากการผิดประเวณี ที่ขัดกับหลักการอิสลาม



นี่คือ ปัญหาใหญ่ที่สังคมมุสลิมกำลังประสบ จากถ้อยยืนยันของ “นายอับดุลมานะ เจ๊ะและ”



อันเป็นที่มาของโครงการอบรมครอบครัวสุขสันต์ ที่มี “นายอับดุลมานะ เจ๊ะและ” เป็นผู้รับผิดชอบการอบรม โดยเปิดหลักสูตรสอนการเลือกคู่ชีวิต รวมไปถึงการแต่งงาน การใช้ชีวิตคู่ และการมีเพศสัมพันธุ์ที่ถูกต้องตามหลักการศาสนาอิสลาม



“นายอับดุลมานะ เจ๊ะและ” บอกว่า ในการอบรมจะมีการสอนเรื่อง การมีเพศสัมพันธ์ตามหลักศาสนาอิสลาม ซึ่งต้องระมัดระวัง ถึงแม้ไม่มีการห้ามไม่ให้พูดถึง แต่จะพูดอย่างไร ไม่ให้เป็นการชักจูงให้เด็กกระทำในสิ่งต้องห้าม การเรียนการสอนเรื่องนี้ในโรงเรียน ก็ต้องดูให้สอดคล้องด้วย



“จากการสุ่มตรวจพฤติกรรมของวัยรุ่นในจังหวัดปัตตานี ตามสถานที่ที่มักเป็นแหล่งมั่วสุมของวัยรุ่น เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2553 พบวัยรุ่นกว่า 200 คู่ ทำผิดประเวณี เมื่อเจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานีแจ้งให้จับกุม ทางเจ้าหน้าที่รัฐอ้างว่า เป็นสิทธิส่วนบุคคล นี่คือความขัดแย้งระหว่างข้อบัญญัติตามกฏหมายกับหลักการอิสลาม เนื่องจากโครงสร้างกฎหมายของประเทศไทย มีหลายเรื่องที่ไม่สอดคล้องกับหลักการอิสลาม ทำให้คณะกรรมการอิสลามฯ แก้ปัญหาไม่ได้” นายอับดุลมานะ กล่าว



เมื่อปี 2553 องค์กรอนามัยโลก (WHO) ประกาศว่า ประเทศไทยติดอันดับหนึ่ง วัยรุ่น 15–19 ปี ตั้งท้องมากที่สุดในเอเชีย และติดอันดับสองของโลก



ปลายปี 2553 ข้อมูลข้างต้นก็ถูกตอกย้ำด้วยข่าวพบ 2,002 ศพทารก ที่วัดไผ่เงิน กรุงเทพมหานคร



จากเหตุการณ์นี้ กระทรวงสาธารณสุขจึงมีมาตรการเร่งด่วน โรงพยาบาลมีคลินิกวัยรุ่นให้คำปรึกษากับวัยรุ่นโดยตรง ทุกปัญหา ทุกเรื่องตลอดเวลา



“นายอิสมาแอมามะ” นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ ประจำจังหวัดปัตตานี มองมาตรการนี้ของกระทรวงสาธารณสุขว่า เป็นการแก้ปัญหาปลายทาง เพราะในบริบทของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สามารถนำหลักการศาสนาอิสลามมาแก้ปัญหานี้ได้



ช่วงที่สังคมยังมีพื้นฐานทางศาสนาเข้มแข็ง สังคม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สามารถจัดการเรื่องนี้ได้เอง แต่ตอนนี้สังคมตระหนักเรื่องศาสนาน้อยลง ขณะที่ครอบครัวก็อบอุ่นน้อยลง ถ้าฐานของครอบครัวเข้มแข็ง ผมเชื่อว่าสังคมจะดีขึ้น” เป็นความเห็นของ “นายอิสมาแอ มามะ”



สาเหตุที่ตัวเลขแม่วัยรุ่นพุ่งขึ้นสูงนั้น “นายอิสมาแอ มามะ” มองว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นิยมแต่งงานกันตั้งแต่เด็ก ขณะเดียวกันต้องยอมรับว่า พฤติกรรมวัยรุ่นปัจจุบันทำให้เกิดการท้องแบบไม่พึงประสงค์มากขึ้น



สอดคล้องกับข้อมูลจากหน่วยงานสาธารณสุข ที่สรุปปัญหาอนามัยการเจริญพันธุ์ในวัยรุ่นและเยาวชน โดยแยกออกเป็น 8 ประเด็น



หนึ่ง แนวโน้มวัยรุ่นจะมีเพศสัมพันธุ์ครั้งแรกเมื่ออายุน้อยลงเรื่อยๆ



สอง กลุ่มคนโสดมีเพศสัมพันธุ์ก่อนแต่งงานในอัตราเพิ่มมากขึ้น



สาม วัยรุ่นหญิงยอมรับแนวคิดการมีเพศสัมพันธุ์ก่อนแต่งงานมากขึ้น



สี่ จำนวนวัยรุ่นและเยาวชนป่วยเป็นโรคกามโรค



ห้า แม่วันรุ่นมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี



หก วัยรุ่นและเยาวชนจำนวนมากติดเชื้อ HIV



เจ็ด วัยรุ่นมีการทำแท้งมากขึ้น



แปด เด็กวัยรุ่นถูกล่วงละเมิดทางเพศและถูกกระทำรุนแรง



เพื่อลดปัญหาเบื้องต้น “นายอับดุลมานะ เจ๊ะและ” บอกว่า เมื่อหลายปีมาแล้ว ได้นำเรื่องนี้ไปหารือกับผู้ใหญ่หลายฝ่าย ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ฝ่ายปกครอง สถานศึกษา ผลจากการหารือคราวนั้น จึงมีมาตรการตรวจเข้มวัยรุ่นตามหอพัก โดยสารวัตรนักเรียนจะออกตรวจตรปัญหาการอยู่ก่อนแต่ง และปัญหายาเสพติด



ทว่า มาตรการที่กำหนดขึ้น กลับนำมาใช้แค่ช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ได้ดำเนินการต่อเนื่อง



“ก่อนยังจับแต่งงาน และเรียกค่าเสียหายจากฝ่ายชายได้อยู่ เด็กสมัยนี้อ้างสิทธิส่วนบุคคลทำให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดทำอะไรไม่ได้ ต้องช่วยกันผลักดันให้มีกฏหมายอิสลาม ที่มีเนื้อหาครอบคลุมไปถึงการแก้ปัญหาสังคม จึงจะสามารถแก้ปัญหานี้ได้” เป็นข้อเสนอแนะของ “นายอับดุลมานะ เจ๊ะและ”



ขณะที่ “ดร.นินาวาลย์ ปานากาเซ็ง” หัวหน้าโครงการวิจัยการรวมพลังแม่วัยเรียนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพศึกษาว่า เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร จะหาแนวทางแก้ไขได้อย่างไร และทำอย่างไรที่จะตัดวงจรของปัญหานี้ห้ได้ งานวิจัยที่เพิ่งเริ่มต้นไม่ถึงปีชิ้นนี้พบว่า เด็กในกลุ่มเสี่ยงท้องก่อนวัย มาจากครอบครัวที่ไม่อบอุ่น และไม่เข้าใจหลักการศาสนาอิสลาม



“ดร.นินาวาลย์ ปานากาเซ็ง” มองว่า ปัญหาที่วัยรุ่นกลุ่มนี้ประสบอยู่ เป็นเรื่องที่อ่อนไหว สังคมต้องยอมรับว่าปัญหาเกิดขึ้นแล้ว เราต้องทำความเข้าใจ และค่อยๆ คิดว่า จะทำอย่างไรให้เด็กเหล่านี้ มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไม่เป็นทุกข์มากนัก เพราะตัวเด็กก็เป็นกังวล เราจะทำอย่างไรให้ตัวเด็กรู้ว่า สิ่งที่ทำไปไม่ถูกต้องตามหลักการของศาสนา



“สามจังหวัดชายแดนใต้ ยังละเลยไม่ให้ความสำคัญกับการเลี้ยงดูและให้ความอบอุ่นแก่เด็กเล็ก ทำให้เด็กโตขึ้นมาในสภาพขาดความอบอุ่น ต้องแสวงหาความอบอุ่นด้วยตัวเอง ประกอบกับสื่อยุคปัจจุบัน ออกมาสื่อสารเรื่องเพศกันอย่างกว้างขวาง ทำให้ปัญหาเรื่องการมีเพศสัมพันธุ์ก่อนวัยอันควรเพิ่มขึ้น ซึ่งนำมาสู่การท้องในวัยเรียนมากขึ้น และแนวโน้มอายุของแม่วัยเรียนจะลดลงมาเรื่อยๆ นี่คือสิ่งที่สังคมมุสลิม 3 จังหวัดชายแดนใต้ ต้องนำไปคิดต่อว่า จะแก้ปัญหานี้อย่างไร”



เป็นข้อเสนอแนะของหัวหน้าโครงการวิจัยการรวมพลังแม่วัยเรียนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้



“นายรอสาลี สานานะอะ” อดีตนักกิจกรรมและคณะกรรมการชมรมด้านสังคม มหาวิทยาลัยแห่งหนคึ่ง ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เห็นว่า ปัญหาวัยรุ่นมุสลิมกระทำผิดหลักการอิสลาม หรือ ZINA จากการมีเพศสัมพันธุ์ก่อนแต่งงาน ซึ่งในศาสนาอิสลามถือเป็นการกระทำผิดร้ายแรงต้องถูกลงโทษ สะท้อนให้เห็นว่า ข้อกฏหมายที่บังคับใช้ในปัจจุบันไม่รองรับกับปัญหาที่เกิดขึ้น ขณะที่คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด หรือผู้นำอิสลามก็ไม่มีสิทธิเอาผิดเด็กได้ นอกจากจับแต่งงาน หรือเรียกร้องฝ่ายชายให้จ่ายค่าเสียหายให้ฝ่ายหญิง



พฤติกรรมผิดทำนองคลองธรรมทางเพศของนักศึกษา ในช่วงที่ “นายรอสาลี สานานะอะ” ทำกิจกรรม ถึงแม้จะอยู่ในสภาพน่าเป็นห่วง แต่คณะกรรมการชมรมฯ ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่เข้าไปตักเตือนว่า การอยู่ก่อนแต่งในหลักการอิสลาม ถือเป็นความผิดมหันต์ นอกจากวัยรุ่นเหล่านั้นไม่ฟัง บางครั้งยังทำร้ายผู้ที่เข้าไปตักเตือนด้วย



เป็นอีกหนึ่งข้อมูลจากอดีตนักศึกษา “นายรอสาลี สานานะอะ”



“ผมอยากให้มหาวิทยาลัยมีมาตรการสอดส่องดูแลนักศึกษาให้ใกล้ชิดมากกว่านี้ โดยเฉพาะกับวัยรุ่นมลายูมุสลิม ผมคิดว่าหอพักของนักศึกษาทุกหอพัก รวมทั้งหอพักนอกมหาวิทยาลัย ควรอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย จะได้เข้าไปควบคุมพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมได้ สังคมที่นี่ยังให้ความเคารพผู้นำศาสนาและคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด ผมต้องการให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดมีอำนาจจัดการแก้ปัญหาเหล่านี้ ด้วยการเพิ่มเนื้อหาในกฏหมายอิสลาม ให้ครอบคลุมเรื่องนี้ โดยมอบอำนาจให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเข้ามาดูแลได้ ผมเชื่อว่าน่าจะช่วยได้”


เป็นข้อเสนอแนะจากวัยรุ่นนาม “นายรอสาลี สานานะอะ” ผู้มีอดีตเป็นนักกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัย

อารีด้า สาเม๊าะ ผู้เข้าร่วมฝึกอบรมการเขียนข่าวเบื้องต้นและการรายงานข่าวสุขภาพ อินเตอร์นิวส์

Syaikh Yusuf Qardhawi Dilarang Memasuki Wilayah Inggris




Rabu, 27/07/2011

Kementerian Dalam Negeri memperingatkan pemerintah Inggris untuk melarang Syaikh Yusuf Al-Qardhawi memasuki Inggris atau bahkan hanya menggunakan wilayah Inggris sebagai transit dari tanggal 14 Juli, karena Syaikh Qardhawi dianggap tidak memiliki visa untuk memasuki Inggris dan tidak memenuhi syarat untuk mendapatkan pembebasan visa pengunjung bagi yang memegang paspor diplomatik Qatar.

Kementerian Dalam Negeri Inggris mengeluarkan keputusan tersebut sesuai dengan Pasal 4 dari Peraturan Imigrasi 1972, menurut laporan kantor berita MENA.

Peraturan itu mengatakan bahwa maskapai penerbangan tidak ada yang boleh membawanya ke Inggris karena mereka akan terkena dakwaan di bawah Pasal 40 Undang-Undang Imigrasi dan Suaka (sebagaimana yang telah diubah).

Dalam hal Syaikh Qardhawi berusaha untuk bepergian ke Inggris, maka dia harus menghubungi direktur komunikasi dan migrasi di Inggris atau kepala Biro Imigrasi di bandara kedatangan.

Pihak berwenang Inggris mencegah Syaikh Qardhawi memasuki Inggris untuk menghadiri konferensi tentang "terorisme."

EMR

วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Norbert Ropers ชี้ทางลัดสู่สันติภาพชายแดนใต้

2011-07-24 23:12

อารีด้า สาเม๊าะ โรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้



เวทีความรู้ครั้งที่ 1 เรื่องกระบวนการสันติภาพเริ่มต้นอย่างไร มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ร่วมกันจัดกับกลุ่มบูหงารายา เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2554 ที่ห้องประชุมอิบนุ คอลดูน วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี นับเป็นอีกเวทีวิชาการที่ดึงความสนใจจากผู้คนที่ใฝ่หาสันติภาพในจังหวัดชายอดนภาคใต้ ให้ความสนใจอยู่ไม่น้อย

หนึ่งในหลากหลายความสนใจนั้น อยู่ที่ความโดดเด่นของผู้บรรยาย นั่นคือ Dr.Norbert Ropers ผู้อำนวยการมูลนิธิ Berghof Peace Support นักวิชาการชาวเยอรมัน อาจารย์มหาวิทยาลัยผู้ผ่านประสบการณ์งานวิจัยเรื่องกระบวนสันติภาพในประเทศแถบเอเชียนานกว่า 10 ปี ที่มาบรรยายเรื่อง “กระบวนการสันติภาพเริ่มต้นอย่างไร? ทฤษฎีและประสบการณ์”

ต่อไปนี้คือ คำบรรยายของนักวิชาการชาวเยอรมัน นาม “Dr.Norbert Ropers” ผู้เชี่ยวชาญ Peace Process ระดับโลก

………………………………………………………………..

ผมมีประสบการณ์การสอนในมหาวิทยาลัย ในวิชาการเมืองระหว่างประเทศและวิชาสันติภาพและความขัดแย้งศึกษา (PEACE and CONFLICT STUDY) ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ผมเชื่อมอยู่กับมูลนิธิเอกชนเล็กๆ แห่งหนึ่งในเยอรมันนี ชื่อ BEGHOF foundation โดยเริ่มจากการทำวิจัยและทำกิจกรรมเชิงปฏิบัติการ เพื่อศึกษาการสร้างสันติภาพและการเปลี่ยนผ่านความขัดแย้ง

ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พื้นที่ทำงานหลักของผมคือเอเชีย 8 ปี ในประเทศศรีลังกา 2 ปีในประเทศไทย และปีหน้าผมจะใช้เวลาประมาณ 50% ไปกับการทำงานในจังหวัดปัตตานี ในฐานะนักวิจัยของสถาบันวิจัยความขัดแย้งและความหลากหลายทางวัฒนธรรมภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เพื่อสนับสนุนงานของอาจารย์ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี ผู้อำนวยการสถาบันแห่งนี้

มูลนิธิ BEGHOF ในภาษาอังกฤษหมายถึงสวนในภูเขา มูลนิธิฯ แห่งนี้เกิดขึ้นในบริบททางการเมืองระหว่างยุโรปตะวันตกและยุโรปตะวันออก เมื่อ 40 ปีที่แล้ว เพื่อทำความเข้าใจกระบวนการสันติภาพทั้งหมดว่า จะเริ่มต้นอย่างไร จะคงสภาพให้ยั่งยืนได้อย่างไร และจะทำให้มันประสบความสำเร็จได้อย่างไร

เราต้องเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจกับคำว่า ความขัดแย้งก่อน ความหมายของความขัดแย้ง และความจำเพาะของความขัดแย้งเป็นอย่างไร แล้วค่อยเรียนรู้กระบวนการของมัน

หลายคนคิดว่า ความขัดแย้งเหมือนกับความรุนแรง แต่ความจริงแล้วไม่เหมือนกัน ความรุนแรงเกิดขึ้นได้ และจะเปลี่ยนผ่านไป

ขณะที่ความขัดแย้งเป็นความขัดกันของความต้องการ แรงบันดาลใจ ความคิดเห็น แต่อาจจะไม่นำมาสู่ความรุนแรงก็ได้ ที่สำคัญความขัดแย้งจำเป็นมาก ที่จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของสังคม

บางคนมองว่า ความขัดแย้งเกิดจากคนสองฝ่ายต้องการสิ่งเดียวกัน ทั้งที่ความขัดแย้งสามารถเกิดขึ้นได้ในหมู่พวกเดียวกัน ถ้ามองปัญหาแตกต่างกัน และอาจนำไปสู่การตอบโต้ด้วยความรุนแรงก็ได้

ผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง ในประเทศศรีลังกาช่วงสงครามระหว่างขบวนการพยัคฆ์ทมิฬอีแลมกับรัฐบาลศรีลังกาครั้งล่าสุด รัฐบาลพูดว่า เราไม่มีความขัดแย้ง เรามีแต่ปัญหาการก่อการร้าย แต่ชุมชนทมิฬกลับบอกว่า เรามีความขัดแย้ง เพียงแต่กลุ่มผู้ใช้ความรุนแรงอยู่ในขบวนการพยัคฆ์ทมิฬอีแลม

งานวิจัยยังระบุอีกว่า ความขัดแย้งอาจจะเป็นเรื่องความแตกต่างของเป้าประสงค์ ระหว่างผลประโยชน์ และความต้องการของกลุ่มคน เช่น กรณีเจ้าของทาสและทาส ซึ่งมีความต้องการที่แตกต่างกัน แต่ในยุคทาสคนทั้งสองกลุ่มก็ไม่ได้มองว่า พวกเขาขัดแย้งกัน

ถ้าไม่มีความขัดแย้ง ไม่มีความรุนแรง การสมานฉันท์มักจะถูกนำไปใช้ประกอบการอธิบายสภาพแห่งสันติภาพ คำถามของผมคือ สภาพเหล่านั้น เป็นสภาพแห่งสันติภาพจริงหรือไม่

ในบางกรณีมีผู้พยายามกดความรุนแรงไว้ไม่ให้ยกระดับขึ้น โดยใช้ผู้รักษาความปลอดภัยจำนวนมาก เช่น ดินแดนแคชเมียร์ รัฐบาลอินเดียส่งทหารเข้าควบคุมพื้นที่ 500,000 นาย เพื่อกดดันฝ่ายตรงข้าม จนไม่สามารถใช้ความรุนแรงในระดับสูงได้ นั่นใช่สันติภาพหรือไม่

สันติภาพมี 2 ความหมาย คือ สันติภาพในแง่ลบ (Negative peace) และสันติภาพในแง่บวก (Positive peace)

ถ้าสันติภาพหมายถึงสภาพที่ไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงปรากฏทางกายภาพ นั่นเป็นความหมายแบบ Negative peace แต่ถ้าสันติภาพในแง่บวก เป็นความหมายที่ครอบคลุมความเป็นธรรม ยุติธรรม ประชาธิปไตย สังคม เศรษฐกิจที่ดี

สาเหตุที่ทำให้ความขัดแย้งยืดเยื้อ มี 5 ลักษณะคือ ความเป็นอัตลักษณ์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีส่วนร่วมในวัฒนธรรม ภาษา ประวัติศาสตร์ และความเป็นเจ้าของในบางอย่างด้วยกัน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชนกลุ่มน้อย ที่ต้องการยืนยันในสิทธิปัจจัยพื้นฐานของมนุษย์ รวมถึงความต้องการให้มีการอนุรักษ์อัตลักษณ์ วัฒนธรรม ภาษา ประวัติศาสตร์ และความรู้ของเผ่าพันธุ์ตัวเอง

ยกตัวอย่างกรณีศรีลังกา เมื่อก่อนเรียกว่ารัฐซีลอน เมื่อได้รับเอกราช ในปีค.ศ. 1948 กลายเป็นประเทศศรีลังกา ที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชนสิงหลนับถือศาสนาพุทธ ต้องการยกกลุ่มชนของตนเป็นพลเมืองหลัก และยกศาสนาพุทธขึ้นเป็นศาสนาประจำชาติ ทำให้เกิดความขัดแย้งกับชาวทมิฬ ชนกลุ่มน้อยที่รับเรื่องนี้ไม่ได้

ความขัดแย้งดังกล่าวยืดเยื้อยาวนาน เมื่อมีชาวทมิฬที่อยู่ในรัฐทมิฬนาดู ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นรัฐของคนทมิฬ อยู่ห่างจากศรีลังกาไม่มากนัก มาช่วยสนับสนุนการต่อสู้ของชาวทมิฬในศรีลังกา

ปัจจัยสุดท้ายที่ทำให้ขัดแย้งยืดเยื้อ ถึงกับส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นกลายเป็นวงจร มีตัวอย่างที่นำมาจากงานวิจัยเกี่ยวกับกระบวนการสันติภาพคือ ความขัดแย้งทางยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ ระหว่างชาวเซิร์บและชาวโครแอทกับกลุ่มชาติพันธุ์มุสลิมบอสเนีย ความขัดแย้งในอาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซีย ความขัดแย้งที่เกาะมินดาเนา ในประเทศฟิลิปปินส์ และความขัดแย้งประเทศจอร์เจีย ซึ่งมีลักษณะความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ

มักมีคำถามว่า เมื่อไรจะถึงเวลาแก้ไขความขัดแย้งเหล่านั้น คำตอบคือ อาจจะเป็นสันติภาพแง่ลบก่อน แล้วสันติภาพแง่บวกจะตามมาทีหลัง

เรื่องนี้มี 3 ทฤษฎี ทฤษฎีที่หนึ่ง เป็นแนวคิดที่เป็นจริงคือ คู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่ายถึงจุดสะบักสะบอม สู้ต่อไปก็ไม่เห็นทางชนะ หมายถึงทั้งสองฝ่ายเข้าสู่ภาวะ Dead lock มองไม่เห็นทางชนะในหนทางนี้แล้ว เหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสงคราม 30 ปีของซูดานเหนือกับซูดานใต้ สุดท้ายซูดานใต้ก็ประกาศเอกราชเป็นประเทศซูดานใต้ได้

อีกตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า คู่ขัดแย้งได้รับความเสียหายจากสงคราม และได้รับแรงกดดันจากต่างประเทศ อย่างสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา ที่เข้าไปกดดันเซอร์เบีย ทำให้ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมานานถูกหาทางออก

ทฤษฎีที่สอง เมื่อหน้าต่างแห่งโอกาสมาถึง (Window of opportunity) ซึ่งอาจมาพร้อมกับรัฐบาลใหม่ที่มุ่งมั่นจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น หรือฝ่ายขบวนการต่อสู้เปลี่ยนใจ หรือเกิดจากอิทธิพลภายนอกที่ต้องการหยุดความขัดแย้ง และหาหนทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

ตัวอย่างกรณีนี้คือ อาเจะห์ของประเทศอินโดนีเซีย ที่ถูกคลื่นสึนามิซัด ทำให้กลุ่มต่อสู้กับรัฐบาลอินโดนีเซียในอาเจะห์คือ ขบวนการ GAM กับทหารของรัฐบาลอินโดนีเซียบนเกาะสุมาตราหยุดการต่อสู้ บวกอิทธิพลจากข้างนอกเข้าไปกดดันให้เกิดการเจรจา

ในศรีลังกาก็เช่นเดียวกับอาเจะห์คือ มีคนกลางเข้ามาช่วยเหลือให้เกิดการเจรจา แต่การเจรจาก็ไม่เกิดขึ้น ชี้ให้เห็นว่า กรณีแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป

ทฤษฎีที่สาม เป็นความมุ่งมั่นทางการเมืองของภาคประชาสังคม ที่รวมกลุ่มต่างๆ ในสังคมขึ้นมารณรงค์หาแนวทางการแก้ปัญหาให้สำเร็จ

เราพูดถึงอะไรที่สามารถเป็นจุดเปลี่ยนที่จะทำให้เกิดการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง ความเคลื่อนไหวของกระบวนการสันติภาพ เริ่มต้นในระดับสูง แต่ค่อยๆ ลดลงตามปัจจัยที่เกิดขึ้น และแนวทางการมีส่วนร่วมในกระบวนการสันติภาพที่เกิดขึ้นต้องเกิดในหลายระดับ

ระดับที่ 1 (tract I) คือกลุ่มผู้นำจากทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายขบวนการ ระดับที่ 2 (tract II) คือกลุ่มนักวิชาการ ภาคประชาสังคม และที่สำคัญที่สุดคือคนรากหญ้า

สำหรับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถึงเวลาของจุดเปลี่ยน เพื่อก้าวเข้าสู่ขั้นตอนก่อน–ก่อนการเจรจา (pre–pre negotiation) หรือยัง

การเจรจาคือการนั่งโต๊ะมาคุยกัน เพื่อหาทางออกของฝ่ายที่มีความขัดแย้ง ยกตัวอย่างในปี 2005 หัวหน้าฝ่ายรัฐของอินโดนีเซีย และ GAM ของอาเจะห์ มานั่งโต๊ะเจรจาโดยมีกลุ่มองค์กรทำงานด้านเจรจามานั่งโต๊ะคุยด้วย

ส่วนขั้นตอนก่อนเจรจา คือการเตรียมการประชุมเตรียมการเพื่อการเจรจา ซึ่งมันจะเป็นการประชุมลับ คุยเบื้องต้นถึงหัวข้อและเป้าหมายคร่าวๆ ในโต๊ะเจรจาว่า จะมีอะไรบ้าง

สถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังไม่มีกลิ่นไอของ pre–pre negotiation หรือก่อน–ก่อนการเจรจา

ถ้าผ่านขั้นตอนตรงนั้นแล้ว จะถึงขั้นตอนการตกลงทางการเมือง ยกตัวอย่างที่อาเจะห์ เกิดขั้นตอนการจัดตั้งเขตปกครองพิเศษอาเจะห์ หรือในบอสเนีย ก็เกิดจากการจัดตั้งกลุ่มชุมชนที่มีความสัมพันธ์ของ 3 ชาติพันธุ์ หรือซูดานที่มีการแบ่งเป็นประเทศซูดานเหนือและซูดานใต้ นั่นเป็นผลของการตกลงทางการเมืองหลังจากเกิดกระบวนการสันติภาพ

หลังจากตกลงทางการเมือง หลายคนวางใจว่าจะเกิดสันติภาพ แต่นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของปัญหาใหม่ที่ต่างกัน แค่อาจจะไม่มีภาพความรุนแรงปรากฏให้เห็น ปัญหาที่เกิดขึ้นใหม่คือ การตีความข้อตกลงที่เข้าใจไม่ตรงกัน เช่น ในการตกลงเจรจาระหว่างรัฐบาลเนปาลกับกลุ่มเหมาอิสม์ ซึ่งการดำเนินการสันติภาพภายใต้ความเข้าใจต่างกันระหว่างสองฝ่าย ผลคือกลุ่มเหมาอิสม์ไม่ยอมบูรณาการกองกำลังติดอาวุธของตัวเอง เข้ากับกองกำลังทหารของเนปาล ทำให้เกิดการต่อต้านข้อตกลง ด้วยการไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง (Disagreement to agreement)

ทางออกของปัญหาแรกเสร็จสิ้นแล้ว อาจจะนำมาสู่ความขัดแย้งใหม่ เช่น ในซูดานเหนือและใต้ ตอนนี้มีปัญหาใหม่ที่ชายแดน เนื่องจากในข้อตกลงไม่ได้ระบุชัดเจนว่า จะเอาอย่างไรกับเส้นชายแดน

ปัญหาคือ แหล่งทรัพยากรน้ำมันที่อยู่ตรงรอยต่อบริเวณชายแดน ที่ยังไม่มีการระบุชัดเจนในตอนแรก เพราะเพิ่งค้นพบหลังการลงนามในข้อตกลงไปแล้ว อาจจะเป็นสาเหตุการปะทุความรุนแรงระหว่างกันอีกรอบ ข้อสรุปจากการศึกษาความขัดแย้งจาก 20 กรณี โดยกลุ่มที่ศึกษาจากกรณีไอร์แลนด์เหนือ ก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการสันติภาพ พบว่าต้องทำ 9 ข้อให้ได้ก่อน

1. ต้องรวบรวมกลุ่มที่ทรงพลังที่จะสร้างความรุนแรงให้ได้ก่อน เป็นประเด็นที่เรียนรู้จากกรณีความขัดแย้งในไอร์แลนด์ที่ยืดเยื้อ ซึ่งพบว่าเพราะกลุ่มที่แฝงอยู่ในกลุ่มก่อการร้ายไม่ถูกรวมอยู่ในการเจรจาตั้งแต่แรก

2. ระหว่างทางการเจรจา ต้องยอมรับว่า จะยังเกิดความรุนแรงอยู่

3. กระบวนการสันติภาพ ต้องเป็นต้นแบบของการให้และการรับตลอดเวลา เราต้องยอมรับว่า แต่ละฝ่ายต้องมีส่วนที่ได้และส่วนที่เสีย

4. ผู้ชนะต้องขายความคิดเรื่องสันติภาพให้ประชาชนทุกกลุ่มยอมรับให้ได้ กระบวนการสันติภาพไม่สามารถดำเนินการโดยผู้นำแต่เพียงฝ่ายเดียว ทำให้ประชากรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสงครามเชื่อมั่นว่า จะไม่มีผลกระทบซ้ำซ้อนจากการวางอาวุธ หรือข้อตกลงนั้น จะไม่มีการเย้ยหยันฝ่ายตรงข้าม

5. การมองเผื่อไปถึงวันข้างหน้า ถึงความขัดแย้งที่อาจจะปะทุขึ้นอีกในอนาคต

6. การพัฒนาต้องเกิดพร้อมกับกระบวนการสันติภาพ เช่น รัฐบาลประเทศศรีลังกาละเลยการพัฒนาในพื้นที่ของชาวทมิฬ และยังมีการกีดกันชาวทมิฬในเรื่องต่างๆ ทำให้กระบวนการสันติภาพล้มเหลว

7. สันติภาพกับความยุติธรรมต้องมาพร้อมกัน เพราะถ้ายังมีการละเมิดอีกฝ่าย จะทำให้กระบวนการสันติภาพล้มเหลว และขาดความน่าเชื่อถือ

8. สนธิสัญญาหยุดยิง ต้องมีข้อตกลงระยะยาวที่จะไม่กลับมาใช้ความรุนแรงอีก เพื่อให้เกิดสันติภาพในระยะยาว จะต้องพูดเรื่องการเมืองประกอบด้วย

9. การแก้ไขปัญหาควรจะอยู่ในวิถีที่เหมาะสมกับชุมชน หรือเฉพาะพื้นที่นั้นๆ แทนที่จะนำแบบอย่างจากพื้นที่อื่นๆ มาปรับใช้ ในการหาหนทางสู่สันติภาพ


ประเทศเยอรมันนีสามารถก้าวข้ามความเจ็บปวดทางประวัติศาสตร์ ก้าวสู่การเป็นสังคมเยอรมันทุกวันนี้ได้อย่างไร?

จากประสบการณ์ความรุนแรงที่สะสมอยู่ในประเทศเยอรมันนี และส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นทำให้ความรุนแรงยืดเยื้อกว่า 150 สิบปี

ประวัติศาสตร์สงครามที่โด่งดังของเยอรมันนี อยู่ระหว่างปี ค.ศ.1870–1871 ประเทศฝรั่งเศสแพ้สงครามให้กับเยอรมันนี ถูกเยอรมันนีเรียกค่าชดเชยสงครามและถูกตราหน้าว่าเป็นผู้แพ้สงคราม ช่วง ค.ศ.1870–1871 เรายังไม่เรียกตัวเองว่าเยอรมัน

เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1914–1918 กลายเป็นโอกาสให้ฝรั่งเศสเอาคืน และตราหน้าให้เยอรมันรู้สึกว่าเป็นผู้แพ้บ้าง เยอรมันนีต้องจ่ายชดใช้ค่าสงครามให้ฝรั่งเศสมากกว่าตอนที่ฝรั่งเศสจ่ายให้เยอรมันนี

หลังจากค.ศ.1920 เยอรมันนีส่อแววว่าจะอ่อนแอในการพยุงประชาธิปไตย และเข้าสู่ความรุนแรงในแบบรัฐบาลนาซีเยอรมัน นาซีเยอรมันเกิดความเคียดแค้นและนำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวยิว แต่ด้วยความโชคดีที่ผู้ชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ทำเฉกเช่นเดียวกับผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้ไม่เกิดการล้างแค้นกันและกันอีก

โชคร้ายคือ เกิดวงจรความรุนแรง เมื่ออิสราเอลรวมตัวกันเป็นรัฐและปกป้องตัวเอง โดยอ้างว่าไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ฆ่าล้างล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวอีก แต่ตัวเองกลับไปละเมิดอธิปไตยของชนเผ่าอื่น

ในฐานะที่เป็นนักสันติภาพ เราต้องหยุดวงจรของความรุนแรง แม้ต้องใช้เวลานาน แต่ถ้าเราไม่ทำอย่างนั้น ความรุนแรงจะดำเนินต่อไป

มันจะดีกว่าถ้าเยอรมันนีแพ้สงครามร้อยเปอร์เซนต์ แต่ในช่วงในสงครามโลกครั้งที่ 1 พวกชาตินิยมบอกว่า เยอรมันนียังไม่แพ้ร้อยเปอร์เซนต์ แต่ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เห็นชัดว่าเยอรมันนีแพ้สงคราม ทำให้ถูกโซเวียตแบ่งออกเป็นประเทศเล็กๆ และคนในประเทศใหม่เหล่านั้น ต้องดิ้นรนสร้างอัตลักษณ์ใหม่ของตัวเอง ทำให้ตัดวงจรความรุนแรงในช่วงนั้นออกไป

อีกประเทศคือ ญี่ปุ่น ที่ตัดวงจรความรุนแรงหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 โดยการเบนความสนใจสู่เรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจของตัวเอง

เดิมหลายประเทศมองว่าญี่ปุ่นและเยอรมันนี เป็นประเทศลัทธิคลั่งชาตินิยม แต่หลังจากแพ้สงครามและมีการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้ภาพเหล่านั้นหายไปเกือบหมดแล้ว แต่เสียดายที่หลายประเทศยังคงเกิดความขัดแย้ง ไม่สามารถพัฒนาไปให้ถึงจุดนั้นได้
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ในขั้นไหน ระหว่างก่อนการเจรจา หรือก่อน–ก่อนการเจรจา การส่งสัญญาณจากภาครัฐกับขบวนการ ฝ่ายไหนจะสามารถนำไปสู่การเจรจาได้จริง?

ขออภัย ผมยังไม่ได้เป็นผู้ชำนาญประเด็นความขัดแย้งในภูมิภาคนี้ ตอนนี้คน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เริ่มกล้าที่จะพูดเรื่องการกระจายอำนาจมากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับ 3 – 4 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี

ถ้าดูจากสิ่งที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อ ถึงสัญญาณการเจรจา ระหว่างสองฝ่ายดูเหมือนพร้อมที่จะเจรจากัน แต่นั่นยังไม่สามารถตัดสินได้ว่า เป็นสัญญาณที่บอกว่า สถานการณ์ดีขึ้นแล้วหรือยัง

ส่วนฝ่ายตรงข้ามรัฐ บางส่วนที่อาจจะยังลังเลว่า จะถูกหลอกอีกหรือไม่ อีกส่วนหนึ่งเชื่อว่า รัฐบาลยังไม่พร้อมรับข้อเสนอ เพื่อการต่อรองจากฝ่ายตรงข้าม

ความแตกต่างกรณีจะเสนอ หรือลังเลในส่วนนี้ เพราะต่างฝ่ายต่างอาจจะกำลังหาทางออกที่ตัวเองได้ประโยชน์มากที่สุด สิ่งที่ต้องคิดคือ การเจรจาจะต้องเตรียมใจว่า ย่อมมีทั้งได้และเสีย
มีทางลัดสู่สันติภาพหรือไม่?

นักการเมืองและนักกิจกรรมมากมายในพื้นที่ความขัดแย้งรอบโลก กำลังมองหาทางลัดสู่สันติภาพ ซึ่งต้องอาศัยความมุ่งมั่นทางการเมืองที่สูงมาก จะต้องมีผู้นำที่มีความเฉลียวฉลาด มีพรสวรรค์บางอย่าง ถึงจะสามารถนำประเทศสู่สันติภาพ

ทางลัดสู่สันติภาพ จะต้องเตรียมผู้นำที่หลากหลาย และเชื่อมโยงการทำงานเข้าด้วยกัน ปัญหาคือความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่สามารถแก้ไขได้ เพราะขาดความเชื่อมั่น ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน หรือ “ZERO TRUSTED”

การลดความตึงเครียดของทั้งสองฝ่ายกับการสร้างสันติภาพด้วยทฤษฎี GRIT (Gradual Reduction in Tention) คือ การกระทำของทั้งสองฝ่ายเพื่อสร้างความมั่นใจระหว่างกัน ไม่จำเป็นต้องทำกิจกรรมด้วยกัน อาจจะต่างฝ่ายต่างทำ เพื่อลดความตึงเครียดของอีกฝ่าย หลักการนี้เกิดขึ้นในสมัยสงครามเย็นระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ซึ่งต้องเชื่อมั่นในฝ่ายตรงข้าม

ตัวอย่างสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อาจจะเริ่มจากรัฐบาลเปิดใจรับการใช้ภาษามลายู ที่เป็นข้อเสนอของฝ่ายตรงข้าม รัฐบาลสามารถแสดงความจริงใจในการร่วมแก้ไขปัญหา และลดความตึงเครียดระหว่างกัน ขณะเดียวกันอีกฝ่ายอาจจะร่วมแสดงความรับผิดชอบ ด้วยการลดการก่อเหตุ เป็นต้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องไม่มีการบังคับเพื่อให้อีกฝ่ายเลิกเชื่อในสิ่งที่เขาเชื่อ

กระบวนการนี้ ถูกใช้ในประเทศไอร์แลนด์เหนือ โดยระดับนำของทั้งสองฝ่ายต้องสร้างความเชื่อมั่นระหว่างกันว่า ถ้าอีกฝ่ายลดความตึงเครียดแล้ว อีกฝ่ายจะไม่เพิ่มความตึงเครียดให้กับฝ่ายตรงกันข้าม เพราะนั่นหมายถึงการไม่ยอมรับข้อเสนอเพื่อให้เกิดสันติภาพ
ปัจจุบันสถานการณ์ความขัดแย้งในโลก มีแนวโน้มอย่างไร?

ช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ 1991–2011 จำนวนความขัดแย้งลดลง จำนวนเหยื่อจากความขัดแย้งลดลง ศตวรรษที่แล้วประเทศต่างๆ เน้นการสานสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ศตรรษนี้เน้นการสานสัมพันธ์ภายในประเทศ

ยกตัวอย่างปัญหาความขัดแย้งในประเทศกัมพูชา ที่มีองค์กรต่างประเทศเข้ามาจัดการเพื่อแก้ไขปัญหาภายใน ในอนาคตกำลังจะหมดยุคการเข้ามามีส่วนในการจัดการปัญหาในพื้นที่ความขัดแย้งของนานาประเทศในลักษณะนี้ โดยเฉพาะในประเทศเอเชีย จะมีแนวทางแก้ไขปัญหาของเอเชียเอง

ทั้งนี้ ปัญหาหนึ่งที่ทำให้แนวโน้มเป็นอย่างนั้น เพราะองค์กรต่างประเทศเหล่านั้น ทำงานสองมาตรฐาน ดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์ในลิเบียและซีเรีย

แนวโน้มการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในประเทศแถบเอเชีย จะมุ่งเน้นประสบการณ์การสร้างความเข้มแข็งให้บกัประชาชน ซึ่งจะเป็นเครื่องมือหนึ่งในการสร้างพลังอำนาจการต่อรอง เพื่อการเปลี่ยนแปลงในประเทศ และแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่ยืดเยื้อยาวนาน

ตัวอย่างการจัดการปัญหาความขัดแย้งในปาปัวตะวันตก จากการทำงานอย่างเข้มแข็งของภาคประชาสังคมปาปัวตะวันตก ทำให้เกิดวิธีแก้ปัญหาความขัดแย้ง ด้วยภูมิปัญญาของคนในพื้นที่
จะสร้างความเชื่อมั่นซึ่งกันและกันได้อย่างไร?

การสร้างความเชื่อมั่นต่อกัน ต้องทำในหลายระดับ ไม่ใช่จุดเดียว เพราะสังคมมีหลากหลายส่วนมาอยู่ร่วมกัน การแก้ปัญหาเพื่อสร้างสันติภาพ จึงต้องถักทอเป็นตาข่าย

รายงานสำนักข่าวอิศรา: "3 ทฤษฎีสู่เจรจาสันติภาพดับไฟใต้" ประเด็นท้าทายว่าที่รัฐบาลใหม่ป้ายแดง



หมายเหตุ: เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมา กลุ่มบุหงารายาและมูลนิธิผสานวัฒนธรรมได้ร่วมกันจัดกิจกรรมเวทีความรู้ครั้ง ที่ 1 หัวข้อ “กระบวนการสันติภาพ เริ่มต้นอย่างไร?” ขึ้นที่ มอ.ปัตตานี (คลิกดูกำหนดการ) โดย มี ดร.นอร์เบิร์ท รอปเปอร์ส ผู้อำนวยการมูลนิธิสนับสนุนสันติภาพเบิร์กฮอฟจากเยอรมันมาอภิปรายนำ ศูนย์ข่าวภาคใต้ สำนักข่าวอิศราได้สรุปบทสนทนาดังกล่าวมาบันทึกไว้อย่างน่าสนใจ กองบรรณาธิการฯ จึงขอนำมาเผยแพร่ซ้ำอีกครั้ง

"3 ทฤษฎีสู่เจรจาสันติภาพดับไฟใต้" ประเด็นท้าทายว่าที่รัฐบาลใหม่ป้ายแดง
ปรัชญา โต๊ะอิแต
ศูนย์ข่าวภาคใต้ สำนักข่าวอิศรา
ที่มา: http://www.isranews.org /south-news/เรื่องเด่น/item/2857-3-ทฤษฎีสู่เจรจาสันติภาพดับไฟใต้-ประเด็น ท้าทายว่าที่รัฐบาลใหม่ป้ายแดง.html

“ความ ขัดแย้งทุกเรื่องทุกที่บนโลกใบนี้ล้วนยุติลงบนโต๊ะเจรจา” เป็นสัจธรรมที่พิสูจน์แล้วและไม่มีใครปฏิเสธ หลายคนจึงเชื่อว่าการจะหยุดสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาค ใต้อย่างยั่งยืน ย่อมหนีไม่พ้นการ “เปิดเจรจา” เช่นกัน

แม้จนถึงปัจจุบันการเจรจาอย่างเป็นทางการเพื่อ “ดับไฟใต้” ยัง ไม่เคยเกิดขึ้นเลยก็ตาม (ถึงจะมีการเจรจาอย่างไม่เป็นทางการหลายกลุ่มหลายระดับต่อเนื่องมาตลอด แต่ก็ยังไม่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อสถานการณ์ในภาพรวม) อาจจะด้วยเหตุผลที่ว่าคู่ขัดแย้งยังไม่พร้อมเจรจา หวั่นว่าเจรจาไปแล้วจะเสียเปรียบ หรือคิดว่าฝ่ายตนได้เปรียบอยู่จึงยังไม่เจรจา ฯลฯ

แต่กระนั้น การเข้าถึงองค์ความรู้ในเรื่อง “การเจรจาสันติภาพ” ย่อม เป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะประชาชนอย่างเราๆ ท่านๆ เนื่องจากในที่สุดสถานการณ์ความขัดแย้งย่อมเดินไปสู่โต๊ะเจรจาดังที่กล่าว แล้ว และการเจรจาที่จะมีขึ้นไม่วันใดวันหนึ่งในอนาคต จักต้องได้รับฉันทานุมัติและมีส่วนร่วมจากประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ (ทั้งจากสถานการณ์และการเจรจาโดยตรง) จึงจะก่อร่างสร้างสันติภาพได้อย่างยั่งยืนสถาพร

หาใช่การเจรจาที่ตกลงกันเฉพาะบุคคลระดับนำของคู่ขัดแย้งแต่อย่างใดไม่...

และนี่คือที่มาของการจัดเวทีความรู้ครั้งที่ 1 เรื่อง “กระบวนการสันติภาพเริ่มต้นอย่างไร?” โดย มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ในฐานะองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนและให้ความช่วยเหลือทาง กฎหมายในพื้นที่ชายแดนใต้ และกลุ่มบุหงารายา โดยเชิญ ดร.นอร์เบิร์ท รอปเปอร์ส (Dr.Norbert Ropers) นักวิชาการชาวเยอรมัน ผู้อำนวยการมูลนิธิ Berghof Peace Support มาถ่ายทอดความรู้ในแง่ทฤษฎีและประสบการณ์ตรง

ดร.นอร์เบิร์ท ผ่านงานด้านกระบวนการสันติภาพ และการเปลี่ยนถ่ายความขัดแย้งไปสู่สันติภาพในหลายประเทศมาอย่างโชกโชน ทั้งยังทำงานแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในเอเชียมาแล้วมากกว่า 10 ปี โดยกลุ่มเป้าหมายที่ทางมูลนิธิผสานวัฒนธรรมเชิญมาร่วมรับฟัง มุ่งเน้นไปที่กลุ่มเยาวชนทั้งพุทธและมุสลิมในพื้นที่

๐ แค่หยุดความรุนแรงยังไมใช่ “สันติภาพ”

ดร.นอร์เบิร์ท บรรยายเอาไว้ตอนหนึ่งว่า การเริ่มต้นสร้างสันติภาพจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับสันติภาพและความขัด แย้งเสียก่อน จึงค่อยมาเรียนรู้เรื่องกระบวนการ

“คนทั่วไปมักเข้าใจว่าความขัดแย้งต้องเป็นเรื่องของความรุนแรงเท่านั้น แต่ที่จริงความไม่เข้าใจและความเห็นที่แตกต่างกัน หรือแม้แต่มีความต้องการที่แตกต่างกันก็เป็นความขัดแย้งแล้ว ยกตัวอย่างเช่นในสังคมที่มีทาสกับเจ้าของทาส ในยุคนั้นไม่มีใครเห็นว่าเป็นความขัดแย้ง แต่หากมองในยุคนี้จะพบว่านั่นคือความขัดแย้ง เพราะทั้งสองฝ่ายมีความต้องการที่แตกต่างกัน”

ส่วนคำว่า “สันติภาพ” ซึ่งมักถูกมองว่าตรงกันข้ามกับคำว่า “ความขัดแย้ง” แท้ ที่จริงก็มีมิติที่ต้องพิจารณาเช่นกัน โดย ดร.นอร์เบิร์ท ยกตัวอย่างปัญหาในแคชเมียร์ (เขตปกครองทางตอนเหนือของอินเดีย) ซึ่งอินเดียส่งกองกำลังของตนเข้าไปอยู่ในพื้นที่เพื่อกดความรุนแรงเอาไว้ และสามารถทำให้ปลอดความรุนแรงได้บางช่วงเวลา ตรงนี้หลายคนเรียกว่า “ความรุนแรงแง่บวก” ซึ่งมักจะถูกอ้างว่าคือ “สันติภาพ” แต่แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ เพียงแต่ต่างจาก “ความรุนแรงแง่ลบ” ที่มองเห็นภาพความรุนแรงปรากฏอยู่ต่อหน้าเท่านั้นเอง

“ความรุนแรงแง่บวกมีลักษณะสำคัญคือ มักเกิดจากความแตกต่างของกลุ่มที่มีอัตลักษณ์แต่เป็นชนกลุ่มน้อย ซึ่งพวกเขาต้องการให้สังคมใหญ่ให้ความสำคัญ แต่สังคมใหญ่ก็ส่งกำลังไปกดทับเอาไว้ ความขัดแย้งประเภทนี้หลายพื้นที่ในหลายๆ ประเทศกินเวลานานมากเป็นสิบๆ ปีหรือมากกว่านั้น”

๐ 3 ทฤษฎีเจรจาสู่สันติภาพยั่งยืน

ดร.นอร์เบิร์ท กล่าวต่อว่า มีคำถามเกี่ยวกับความรุนแรงที่ยืดเยื้อยาวนานว่าเมื่อไหร่จะจบลง เมื่อไหร่ถึงจะมีสันติภาพ คำตอบมีอยู่ 3 ทฤษฎีที่อธิบายเรื่องนี้ได้

ทฤษฎีที่หนึ่ง คือ คู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่ายต่างไม่ยอมกัน สู้กันไปเรื่อยๆ โดยไม่มีสัญญาณแห่งชัยชนะของแต่ละฝ่าย ต่อมาคู่ขัดแย้งก็จะพบว่าตัวเองไม่มีทางชนะ อยู่ในสถานการณ์ที่มืดมน ก็จะกดดันให้เกิดการเจรจา เช่น สถานการณ์ในซูดานเหนือกับซูดานใต้ เป็นต้น

ทฤษฎีที่สอง คือ หน้าต่างแห่งโอกาส เกิดจากการยอมเปลี่ยนแปลงโดยคู่ขัดแย้งฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยภายนอก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ กรณีความขัดแย้งระหว่างอาเจะห์กับอินโดนีเซีย ซึ่งกระบวนการที่ก่อให้เกิดความสำเร็จมาจากการยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือโดย องค์กรระหว่างประเทศ

ทฤษฎีที่สาม คือ การได้มาซึ่งสันติภาพที่เกิดจากการรวมตัวกันของคนที่เป็นกลุ่มก้อนซึ่ง ปฏิเสธความรุนแรง จนเกิดภาวะสุกงอม ซึ่งเป็นที่รับรู้กันว่าในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ของไทยก็มีความพยายามกันอยู่

“แนวทางการสร้างสันติภาพจะเกิดขึ้นได้ต้องมีการขับเคลื่อนจากหลายระดับ เป็นการปรับเปลี่ยนท่าทีของทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม และประชาชน เมื่อมาดูในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีคำถามว่าสถานการณ์เดินมาถึงจุดเปลี่ยนของความขัดแย้งหรือยัง หากถึงจุดเปลี่ยนแล้ว ก็จะไปถึงขั้นตอนก่อนการเจรจา ซึ่งอาจหมายถึงสถานการณ์ในสามจังหวัดขณะนี้ จากนั้นจึงจะก้าวสู่ขั้นของการเจรจาจริงๆ และขั้นการตกลงทางการเมือง ซึ่งทั้งหมดเป็นเพียงแค่จุดเริ่มของกระบวนการสันติภาพเท่านั้น ซึ่งในระหว่างทางของกระบวนการมักพบปัญหาเรื่องข้อตกลงที่มีการตีความแตกต่าง กัน ทำให้เกิดความไม่เห็นด้วยในข้อตกลงร่วมกัน ซึ่งหลังจากนั้นอาจมีความรุนแรงเกิดขึ้นตามมาอีกก็เป็นได้”

๐ ระหว่างทางเจรจาย่อมมีความรุนแรง

ดร.นอร์เบิร์ท ยังได้สรุปแนวคิดของกลุ่มนักวิชาการที่ทำงานแก้ปัญหาความขัดแย้งในไอร์แลนด์ เหนือว่า ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการสันติภาพ ต้องมีองค์ประกอบสำคัญ 10 ข้อ คือ

หนึ่ง ผู้เข้าร่วมกระบวนการต้องรวมถึงคู่ขัดแย้งที่นิยมความรุนแรงด้วย

สอง ต้องยอมรับว่าระหว่างทางของการเจรจาย่อมมีความรุนแรงเกิดขึ้น

สาม จะ ต้องมีการให้และรับในเวลาเดียวกัน กล่าวคือจะต้องมีการแลกเปลี่ยนกัน ไม่มีกระบวนการสันติภาพที่ไหนที่แต่ละฝ่ายจะได้สิ่งที่ต้องการทั้งหมด

สี่ ผู้มีอำนาจทั้งสองฝ่ายจะต้องขายความคิดให้กับประชาชนในพื้นที่ขัดแย้งด้วย ไม่ใช่บริหารเองโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

ห้า จะต้องบูรณาการกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมดให้กลับคืนสู่สังคมโดยปกติได้ ไม่ถูกกล่าวหาหรือตีตราว่าเป็นสาเหตุแห่งความรุนแรง

หก จะต้องพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ ที่อาจทำให้เกิดความขัดแย้งเพิ่มขึ้นอีก แล้วเข้าไปจัดการ ป้องกัน

เจ็ด จะต้องพัฒนาพื้นที่ขัดแย้งในด้านต่างๆ

แปด จะต้องดำรงไว้ในเรื่องความยุติธรรม เพราะเป็นไปไม่ได้ที่สันติภาพจะเกิดขึ้นท่ามกลางความอยุติธรรมที่ยังดำรงอยู่

เก้า จะต้องเฝ้าระวังการใช้ความรุนแรง และปัญหาการเมืองในพื้นที่

สิบ จะต้องใช้เอกลักษณ์ในพื้นที่มาช่วยจัดการปัญหา

๐ “สัญญาณดี” พูดเรื่องกระจายอำนาจ

“จากคำถามที่ว่าตอนนี้มีจุดเปลี่ยนของเหตุการณ์หรือยัง ผมเองอาจมองเห็นภาพได้ไม่ชัดนัก แต่สิ่งที่ปรากฏชัดคือมีการพูดเรื่องการกระจายอำนาจมากขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี และรัฐบาลไทยก็ยินดีที่จะพูดคุยกับคู่กรณีมากกว่าเดิม แต่อีกฝ่ายยังไม่มีสัญญาณที่ชัดเจน อาจเป็นความลังเลที่เกิดจากฝ่ายขบวนการจากบทเรียนในอดีตที่มองว่าโดนหลอกมา ตลอด และฝ่ายขบวนการอาจเชื่อว่ารัฐบาลยังไม่พร้อมรับข้อเสนอก็เป็นได้” ดร.นอร์เบิร์ท กล่าว

แต่กระนั้น นักวิชาการจากเยอรมันผู้เชี่ยวชาญด้านกระบวนการสันติภาพ บอกว่า ความลังเลของฝ่ายขบวนการเกิดขึ้นในประเทศที่มีความขัดแย้งอื่นๆ ทั่วโลก ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ก็เป็นสัญญาณที่น่าสนใจ และต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ข้อเสนอของทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะฝ่ายใด จะไม่มีใครได้หรือต้องให้ทั้งหมด

“หลายฝ่ายอาจพยายามค้นหาทางลัดที่จะนำไปสู่สันติภาพ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือฝ่ายการเมืองต้องมีความมุ่งมั่น ต้องมีผู้นำที่ฉลาดเฉลียว มีพรสวรรค์ และเตรียมผู้นำระดับต่างๆ ให้สามารถทำงานได้ในทุกๆ สถานการณ์ที่เผชิญและในบริบทที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นต่อคู่เจรจาได้ใน ระดับหนึ่ง”

ดร.นอร์เบิร์ท กล่าวทิ้งท้ายเสมือนหนึ่งเป็นความท้าทายต่อว่าที่รัฐบาลชุดใหม่ป้ายแดง!

************************************************************************************

English version

An expert’s view on peace process
Pratchaya Toh-e-tae
Southern News Center, Isranews Agency
Source: http://www.isranews.org/south-news/เรื่องเด่น/item/2873-An-expert%E2%80%99s-view-on-peace-process.html

“Every conflict can be resolved on the negotiating table”. This is a proven and undeniable truth that several people believe that the bloody conflict in the deep South can be resolved only through negotiations.

Although no formal negotiations have ever been held between all the parties in the conflict in the strife-torn deep South, informal peace talks have been occasionally been held and at different levels in the past several years but without success.

In order to have a better understanding about peace process and how it works, Cross Cultural Foundation which is a non-governmental organization dedicated to human rights promotion and legal counseling recently invited Dr Norbert Ropers, director of Germany’s Berghof Foundation for Peace Support, to give a lecture on the topic: “How to start a peace process” and to share his experience in peace process.

In his lecture, Dr Ropers said that one needs to have a clear understanding of peace and conflict before peace building process can start. He said that most people appeared to have misconception about conflict that it has to do with violence. He noted that conflict is not all about violence, difference in opinions or wishes is also regarded as a conflict.

Peace, he added, is not the opposite of conflict. He cited the Kashmir problem in which the stationing of Indian troops in the region managed to keep violence under checks – a condition several people described as “constructive violence” while a handful claimed as “peace”.

Dr Ropers offered three theories of peace building.

The first theory is about two conflicting parties which are equally obstinate and continue to war against each other with neither side has the prospect of winning. In this case, the doomed situation will compel the two conflicting parties into the negotiating table. A case in point is the conflict in Sudan.

The second theory concerns a window of opportunity when a third party, due to an external factor, steps in to offer a helping hand to negotiate a conflict. A case in point is the conflict between Indonesia and Aceh separatists. Peace was successfully brokered by the international community in the aftermath of a tsunami devastated most of Aceh province.

The third theory is about the unification of people to put pressure on the conflicting parties to come to the negotiating table to end the conflict. In the deep South, there have been attempts by various groups of people in the strife-torn region to unite together with enough pressure to push for peace talks.

From the experience of peace process in Northern Ireland, Dr. Ropers outlined a number of factors before the beginning of peace process. The factors include: the peace process must involve the parties which are prone to violence; all parties must accept that violence can take place in the course of peace talks; the conflicting parties must be willing to give and take; the victims of the conflict must be rehabilitated; peace cannot be attained without justice; conflict solution must involve people who are caught in the conflict.

Asked whether he has seen any turning point regarding the situation in the deep South, Dr Ropers admitted he had not seen any clear picture yet. However, he pointed out that talk about decentralization from the government side was a good sign but there is no clear response from the “other side” yet.

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Pulihkan Ekonomi, Bank Pembangunan Islam Beri Mesir Pinjaman 2,5 Milyar Dolar



Kamis, 16/06/2011

Bank Pembangunan Islam (Islamic Development Bank/IDB) Rabu kemarin (15/6) mengatakan bahwa mereka akan memberikan Mesir pinjaman sebesar 2,5 milyar dolar untuk membiayai proyek-proyek infrastruktur dan memperkuat impor dan ekspor negara tersebut.

Mesir telah berjuang untuk menempatkan ekonomi mereka kembali ke jalur setelah pemberontakan rakyat yang berhasil menggulingkan Presiden Hosni Mubarak pada Februari lalu.

Paket pinjaman tiga tahun ini akan memberikan kontribusi untuk proyek-proyek dalam pembangunan listrik, jalan, kereta api dan pendidikan, kata bank yang berbasis di Saudi mengatakan dalam sebuah pernyataan.

Bantuan uang juga akan digunakan untuk membuat pembangkit listrik sebesar 650-megawatt.

Ekonomi mesir terpukul keras oleh aksi protes anti-rezim yang dimulai pada 25 Januari, di mana industri pariwisata yang sangat menguntungkan Mesir terpengaruh sangat buruk akibat revolusi.

Awal bulan ini, Dana Moneter Internasional (IMF) juga memberikan Mesir pinjaman sebesar 3 miliar dolar selama 12 bulan.

Pinjaman IMF untuk Mesir memiliki masa tenggang tiga tahun dan tiga bulan, diikuti dengan periode lima tahun untuk membayar kembali.

: (Era)

Pejabat Jerman Akui Ikhwanul Muslimin Aset Bagi Pembangunan Mesir



Kamis, 16/06/2011

Berbicara kepada kantor berita MENA, Presiden Kamar Dagang dan Industri Arab-Jerman , Rainer Herret menyatakan bahwa Pemerintah Jerman akan mempertimbangkan kebijakan ekonomi yang mengadopsi kepentingan semua kekuatan politik Mesir, termasuk Ikhwanul Muslimin.

Menurut Herret gagasan penurunan investasi Jerman di Mesir jika Ikhwan masuk ke kekuasaan sama sekali tidak dipertimbangkan. Dia menekankan bahwa partai-partai politik baru harus bisa melaksanakan kebijakan ekonomi untuk meningkatkan investasi dan meningkatkan daya saing perekonomian Mesir.

Mengecilkan kekhawatiran tentang Ikhwan yang mungkin memenangkan pemilu Herret menyatakan bahwa dia percaya Islam adalah agama moderat, yang mendorong dialog dan mengecam kekerasan dan ekstremisme.

Ia menyatakan bahwa ia mengharapkan investasi Jerman akan meningkat di Mesir dalam waktu dekat sembari menambahkan negaranya ingin meningkatkan hubungan dengan Mesir. Dia menggambarkan Mesir sebagai mitra ketiga terbesar di kawasan itu, setelah UEA dan Arab Saudi.

Herret juga menambahkan bahwa kesepakatan Mesir-Uni Eropa telah melakukan banyak hal untuk meningkatkan ekonomi dan perdagangan kerjasama antara Kairo dan Berlin.

Dia menegaskan bahwa Uni Eropa siap untuk melakukan semua yang bisa dilakukan untuk mendukung perekonomian Mesir, menyusul adanya revolusi 25 Januari, termasuk mempertimbangkan subsidi untuk memenuhi kebutuhan rakyat Mesir

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554

อดีตนายกทักษิณ ให้ความหวัง มุสลิมไทย กว่า 7,000คนได้ไปฮัจย์ - 2,000 ปีนี้ ในมือกรมศาสนายังใบ้กิน



มุสลิมไทยดอทคอม : 12 มิย. 54 21:55:56


สำนักข่าวมุสลิมไทย อดีตนายกทักษิณ ให้ความหวัง มุสลิมไทย กว่า 7,000คนได้ไปฮัจย์ - 2,000 ปีนี้ ในมือกรมศาสนายังใบ้กิน

ตัวแทนผู้ประกอบกิจการฮัจย์และผู้นำกลุ่ม (แซะห์ ) เดินทางไปเมืองดูไบ เข้าพบและเยี่ยมอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร กว่า 1 ชั่วโมง

ผู้สื่อข่าวพิเศษมุสลิมไทยรายงานจากเมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ว่า เมื่อไม่นานมานี้ ทางตัวแทนผู้ประกอบกิจการฮัจย์และผู้นำกลุ่ม ( แซะห์ ) ได้เดินทางไปเมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ด้วยสายการบินเอมิเรตส์ จำนวน 18 คน และพักที่เมืองดูไบ จำนวน 1 คืน เพื่อนัดพบและเยี่ยมเยียนอดีตนายกทักษิณ และใช้เวลาการพูดคุยในเรื่องต่างๆในหลายประเด็น

โดยสรุปคือ
- ท่านได้พูดถึงว่าท่านนั้นมีความเข้าใจประเทศมุสลิม และวิถีชีวิตของพี่น้องมุสลิมมากขึ้น เนื่องจากช่วงที่ท่านลำบากพี่น้องมุสลิมอำนวยความสะดวกให้สถานที่พักพิง

- อดีตนายกยังเล่าอีกว่า มีประเทศมุสลิมหลายประเทศที่เสนอจะให้ทุนการศึกษา เพื่อเรียนต่อในต่างประเทศแก่พี่น้องมุสลิมเพื่อยกระดับการพัฒนาคุณภาพชีวิตและพัฒนาบุคลากรคนรุ่นใหม่ เพื่อกลับมาพัฒนาประเทศชาติต่อไป และสนใจที่จะร่วมลงทุนในกิจการของรัฐบาลไทย ที่กำลังจะดำเนินการตามแผนพัฒนาฯในจังหวัดชายแดนใต้



- ในส่วนของผู้ประกอบกิจการฮัจย์และผู้นำกลุ่ม(แซะห์) ที่ได้เดินทางไป ได้เล่าให้ท่านอดีตนายกฯรับทราบว่า ขณะนี้ความเดือดร้อนของพี่น้องมุสลิม ที่ลงทะเบียนจะเดินทางไปประกอบพีธีฮัจยืประจำปี 2554 ที่ยังอยู่นอกโควต้าจำนวนมาก ประมาณ 7,700 คนกว่า ซึ่งได้ชำระเงินครบถ้วนสมบูรณ์กับกรมการศาสนา ท่านละ 50,000 บาท และเมื่อมีคลิปของท่านได้พูดถึงเรื่อง กิจการฮัจย์ของพี่น้องมุสลิมในประเทศไทยที่มีปัญหามาตลอดโดยเฉพาะจำนวนโควตา หรือ บ้านพักอาศัยในเทศกาลฮัจย์ ที่ถูกแพร่หลายในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้

และท่านฯได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ที่ดีของท่านกับราชวงศ์ ที่ได้มีโอกาสช่วยเหลือดูแลโครงการฯ ให้คำปรึกษาของประเทศซาอุดีอาราเบีย ในฐานะตัวแทนผู้ประกอบการฯจึงตัดสินใจเดินทางมาพบท่านเพื่อประสานงาน หาแนวทางให้พี่น้องมุสลิมสามารถเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ได้ทั้งหมดในปีนี้

ส่วนในปีต่อไปนั้นขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ที่จะมาดูแลในกิจการฮัจย์และให้ความสำคัญที่จะแก้ปัญหาในเรื่องนี้ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มงบประมาณ กองทุนสำรองเพื่อเช่าบ้านในเทศกาลฮัจย์ที่ท่านได้กรุณาพิจารณาอนุมัติในสมัยของท่านเป็นจำนวนเงิน 300 ล้าบาท และอาจจะต้องมีการพิจารณาพระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการฮัจย์ ( แก้ไข เพิ่มเติม ) รูปแบบการลงทะเบียนผู้แสวงบุญประจำปี การขนส่งผู้โดยสารสำหรับผู้แสวงบุญและราคาบัตรโดยสารที่เป็นธรรม เงือนไขและรูปแบบการเช่าที่พัก ( โรงแรมและบ้านในเมืองมักกะห์และเมืองอัลมาดีนะห์ ) และการอำนวยความสะดวกภาคสนามของหน่วยพยาบาลไทยและคณะกรรมการอำนวยความสะดวกสำหรับผู้แสวงบุญ ( แบะอฺซะห์ )

อดีนนายกฯยังได้กล่าวอีกว่า ท่านนั้นได้ติดหนี้บุญคุณพี่น้องมุสลิมและ ประเทศมุสลิมที่ได้ให้ความช่วยเหลือให้สถานที่พักพิงในยามที่ท่านลำบากและเข้าใจวิถีชีวิตของมุสลิมมากขึ้น

หลังจากคณะของตัวแทนผู้ประกอบการฯและผู้นำกลุ่ม(แซะห์) ได้เดินทางเยี่ยมคารวะท่านกงสุลใหญ่ นายชาลี สากลวารี ณ เมืองเจดดาห์ ที่ทำเนียบกงสุลใหญ่ เพื่อติดตามจำนวนโควต้าที่ทางตัวแทนผู้แทนฮัจย์ไทยได้ทำหนังสือยื่นขอจำนวนเพิ่มเติมอีก 2,000 คน และได้รับการชี้แจงและอธิบายจากท่านกงสุลใหญ่อย่างละเอียด

และท่านกงศุลใหญ่ได้แนะนำให้คณะตัวแทนผู้ประกอบการฯไปพบ หารือกับผู้รับผิดชอบผู้ดูแลกิจการฮัจย์ของประเทศซาอุดีอาราเบียที่รับผิดชอบดูแลกิจการฮัจย์ของพี่น้องมุสลิมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งประกอบด้วยหลายประเทศ ซึ่งมีประเทศไทย สังกัดอยู่ด้วย

ซึ่งผู้รับผิดชอบผู้ดูแลกิจการฮัจย์ของประเทศซาอุดีอาราเบียได้กล่าวว่า การติดตามและคำตอบที่ชัดเจนในเรื่อง จำนวนโควต้าที่ได้ขอเพิ่มเติมอีก 2,000 คน นั้น คงจะได้รับการพิจารณาในเร็ววันนี้ อาจจะเป็นก่อนเดือนรอมฎอน หรือ ในเดือนรอมฎอน ( ซึ่งปีนี้จะตรงกับเดือนสิงหาคม )

และผู้รับผิดชอบผู้ดูแลกิจการฮัจย์ของประเทศซาอุดีอาราเบียได้กล่าวขอบคุณ และมีความรู้สึกดีใจ และยินดีที่ทางตัวแทนผู้ประกอบการฯจากประเทศไทยมาพบปะ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและหาแนวทางในการพัฒนากิจการฮัจย์ของพี่น้องมุสลิมในประเทศไทย ซึ่งพวกเราจะต้องช่วยกันดูแลเป็นกรณีพิเศษและยกระดับการพัฒนา ด้านการบริการให้กับพี่น้องมุสลิมต่อไป ซึ่งถือว่า เป็นภารกิจร่วมกัน

www.muslimthai.com

Gaddafi Asyik Bermain Catur, Pada Saat Pasukannya Sibuk Berperang



Senin, 13/06/2011

Televisi negara Libya memperlihatkan gambar Muammar Gaddafi yang bermain catur dengan presiden dari Federasi Catur Dunia (FIDE), pada saat pertempuran antara pasukan Libya dan pemberontak berkecamuk di berbagai wilayah Libya Senin ini (13/6).

Gambar-gambar yang disiarkan Minggu malam menunjukkan terjadinya permainan catur antara Gaddafi dan presiden FIDE Kirsan Ilyumzhinov yang diawasi oleh Muhammad putra tertua pemimpin Libya itu.

Gaddafi, yang terakhir terlihat di depan umum ketika menyambut Presiden Afrika Selatan Jacob Zuma yang ke Tripoli pada 30 Mei lalu, mengenakan jubah coklat dan berkacamata hitam.

Televisi Libya tidak mengatakan di mana pertemuan berlangsung namun Ilyumzhinov mengatakan kepada kantor berita Rusia Interfax bahwa ia telah bermain melawan Gaddafi di Tripoli pada hari Minggu kemarin (12/6).

Pecatur Rusia yang eksentrik yang pernah mengklaim ia merupakan makhluk luar angkasa, juga duduk bermain catur dengan putra Gaddafi Muhammad, lapor Interfax.

"Pertemuan berlangsung sekitar dua jam, kami bermain catur beberapa kali dengan Gaddafi," kata Ilyumzhinov, yang dalam kunjungan ke Tripoli dalam kapasitasnya sebagai presiden FIDE, mengatakan kepada Interfax.

"Gaddafi menyatakan bahwa ia tidak akan meninggalkan Libya, menekankan bahwa Libya adalah tanah kelahirannya dan tanah di mana anak-anak dan cucu-cucunya meninggal. Dia juga mengatakan bahwa dia tidak mengerti mengapa dia perlu turun dari kekuasaannya."

Pertemuan papan catur ini datang pada saat pertempuran antara pasukan Gaddafi dan pemberontak mengamuk di Libya, dengan korban dilaporkan terjadi di Zintan dan rezim mengatakan telah mengeliminasi perlawanan pemberontak di Zawiyah di sebelah barat ibukota.

Pertempuran juga berlangsung di barat daya pegunungan Berber dari Tripoli, di dekat Yafran dan di Dafnia dekat Misrata, kota ketiga Libya, sumber pemberontak mengatakan kepada AFP. (fq/ap)

วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เรียนรู้การเมือง



การเลือกตั้งที่กำลังมาถึงในเร็ว ๆ นี้ เป็นปัจจัยหนึ่งในการตัดสินใจลงทุนของคนจำนวนไม่น้อย เพราะรัฐบาลที่จะตามมานั้น ยังไม่รู้ว่าจะเป็นใคร เข้ามาแล้วจะมีนโยบายอย่างไรชัดเจนแม้ว่าจะมีการประกาศนโยบายต่าง ๆ ของพรรคการเมืองออกมาแล้ว นอกจากเรื่องของนโยบายแล้ว แนวความคิดหรือปรัชญาทางการเมืองของแต่ละพรรคก็เป็นประเด็นสำคัญไม่น้อยกว่าหรือน่าจะพูดว่าสำคัญยิ่งกว่าเรื่องของนโยบายที่เขียนไว้ เพราะแนวความคิดหรือปรัชญาทางการเมืองนั้น มักจะเป็นตัวกำหนดว่า พรรคนั้นจะทำอย่างไรหรือตัดสินใจอย่างไรต่อแนวทางในการบริหารประเทศโดยเฉพาะในด้านของเศรษฐกิจ เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ จะเอื้อหรือขัดขวางการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน
แนวความคิดหรือปรัชญาทางการเมืองหลัก ๆ ที่ผมคิดว่าสามารถอธิบายได้ชัดเจนในโลกนี้น่าจะแบ่งได้เป็นสองค่ายหรือสองกลุ่มนั่นก็คือ ฝ่ายที่เรียกว่า “ทุนนิยม” กับฝ่าย “สังคมนิยม” แต่นี่ก็เป็นเพียงเรื่องของแนวความคิดทางเศรษฐกิจที่สองฝ่ายมีความเห็นไม่เหมือนกันหรือตรงกันข้าม ที่จริงยังมีเรื่องหรือประเด็นอื่น ๆ อีกมากที่แต่ละฝ่ายมองไม่เหมือนกันและดังนั้นเวลาแบ่งค่ายจึงมีการใช้คำที่ครอบคลุมความหมายที่กว้างกว่าโดยเรียกว่าเป็น ฝ่าย “ขวา” กับฝ่าย “ซ้าย” โดยที่ฝ่ายขวานั้นเชื่อในระบอบเศรษฐกิจที่เป็นทุนนิยมและฝ่ายซ้ายเน้นที่สังคมนิยม
ถ้าจะให้มองภาพที่ชัดเจนว่าฝ่ายขวาคิดอย่างไรและฝ่ายซ้ายคิดอย่างไรในประเด็นเรื่องต่าง ๆ นั้น ผมคิดว่าถ้ามองในสถานการณ์ปัจจุบันเป็นประเทศคงมองได้ไม่ชัดเจนนัก เหตุผลก็เพราะว่าในช่วงหลัง ๆ การแตกแยกหรือแบ่งแยกอุดมการณ์ทางการเมืองนั้น “เบลอ” มากขึ้นทุกที หาประเทศที่เป็นขวา “ตกขอบ” หรือซ้าย “สุดโต่ง” ได้ยาก ประเทศที่เคยเป็นสังคมนิยมหลายแห่งก็ “กอดรัด” ทุนนิยมเข้าไปเต็มที่ ตัวอย่างเช่นในประเทศจีนเป็นต้น ในทางตรงกันข้าม ประเทศที่เคยเป็นทุนนิยมจัด ๆ เช่นในประเทศพัฒนาแล้วจำนวนมากก็หันมาเน้นนโยบายแบบสังคมนิยมมาก ๆ กลายเป็น “รัฐสวัสดิการ” ไปเลยก็มี ดังนั้น เพื่อที่จะอธิบายความคิดแบบซ้าย-ขวาให้เห็นภาพได้ชัดเจน ผมจึงอยากที่จะใช้ตัวอย่างของสองประเทศในช่วงก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่สองมาเปรียบเทียบให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น เหตุผลก็คือ นั่นเป็นช่วงเวลาที่อุดมการณ์ทางการเมืองกำลังมาแรงเป็นกระแสระดับโลกที่ “เชี่ยวกราก” สองประเทศที่ว่าก็คือ เยอรมัน ตัวแทนของฝ่ายขวา กับ สหภาพโซเวียตรัสเซีย ตัวแทนของฝ่ายซ้าย
ความคิดแบบขวานั้น ประเด็นแรกก็คือ มองว่าคนเรานั้น ไม่เท่าเทียมกัน มีคนที่เหนือกว่าคนอื่นในสังคม คนที่เหนือกว่าก็ควรต้องมีสิทธิมีเสียงมากกว่า เป็นผู้นำ เป็นผู้ที่จะกำหนดเรื่องราวต่าง ๆ ให้คนที่ด้อยกว่าทำตาม พูดง่าย ๆ คนที่ปกครองต้องเป็นคนที่เหนือกว่าหรือดีกว่า นั่นคือสิ่งที่ฮิตเลอร์คิดและทำ เขาคิดว่าคนเยอรมันหรือพูดให้ถูกต้องก็คือคนเชื้อชาติ “อารยัน” นั้นเป็นคนที่เหนือกว่าคนอื่นโดยเฉพาะคนรัสเซียที่เป็นชนเผ่า “สลาฟ” และดังนั้น เยอรมันจะต้องปกครองรัสเซียและประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะที่เป็นพวกสลาฟ ฮิตเลอร์ยังคิดว่าพวกยิวนั้นเป็นชนชาติที่ด้อยและเลวร้ายจะต้องกำจัดให้หมดไป ดังนั้น เขาจึงสังหารคนยิวนับล้าน ๆ คน ส่วนความคิดแบบซ้ายสุดนั้นมองว่าคนทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่มีชนชั้น ดังนั้น จึงต้องกำจัดชนชั้นให้หมดไปโดยเฉพาะนายทุนที่ “กดขี่ขูดรีด” ชน “ผู้ใช้แรงงาน” ที่เป็นกลุ่มชนชั้นล่างของสังคม
ฝ่ายขวานั้น มักจะเน้นความเป็น “ชาตินิยม” เรื่องของดินแดนหรืออาณาเขตประเทศเป็นสิ่งที่ต้องรักษาและถ้าเป็นไปได้ต้องขยายออกไปให้ยิ่งใหญ่ การได้อาณาเขตเพิ่มเติมเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีและความมั่นคงยิ่งใหญ่ทางเศรษฐกิจและอำนาจทางการเมือง นั่นทำให้ฮิตเลอร์ยกทัพเข้ายึดครองประเทศเพื่อนบ้านและรัสเซีย ตรงกันข้าม ฝ่ายซ้ายนั้นไม่เน้นความเป็นชาตินิยมแต่เน้นความเป็นสากล พวกเขาเชื่อว่าโลกหรือคนนั้นไม่ได้แบ่งกันที่อาณาเขตของประเทศ แต่แบ่งที่ว่าคุณเป็นคนชั้นไหน “ผู้กดขี่” หรือผู้ที่ “ถูกกดขี่” สำหรับพวกเขาแล้ว เขาเน้นการ “ส่งออก” ความคิดแบบ “ปฏิวัติ” และสนับสนุนให้คนที่ถูกกดขี่โดยเฉพาะกรรมกรและชาวนาต่อสู้เพื่อสร้างระบบสังคมนิยมขึ้นในประเทศของตนเอง ไอดอลของฝ่ายซ้ายอย่าง เช กูวารา นั้น เขาไปช่วยรบกับฝ่ายซ้ายในหลาย ๆ ประเทศโดยเฉพาะในละตินอเมริกา
ฝ่ายขวานั้น มักจะเน้นการเป็น “วีรบุรุษ” พวกเขาจะเชิดชูผู้นำที่โดดเด่น ฮิตเลอร์ใช้สื่อทุกชนิดและกลุ่มคนต่าง ๆ รวมถึงเยาวชนในการสร้างให้ตนเองเป็นวีรบุรุษและผู้นำของเยอรมัน ฝ่ายซ้ายนั้นมักเน้นการปกครองหรือการนำเป็นกลุ่ม หรือก็คือกลุ่มผู้นำของพรรคการเมืองเช่นพรรคคอมมิวนิสต์
การเป็นขวาจัดของเยอรมัน นั้น ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือคนเยอรมันอยากจะเป็น สถานการณ์มักจะเป็นตัวกำหนด นั่นก็คือ เยอรมัน เองถูกบีบจากสันนิบาตชาติหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งที่เยอรมันเป็นฝ่ายแพ้ และทำให้ต้องถูกยึดครองดินแดนและเสียค่าปฏิกรณ์สงครามรวมถึงต้องเสีย ศักดิ์ศรีในอีกหลาย ๆ เรื่อง ดังนั้น อุดมการณ์ขวาจึงเกิดขึ้นได้ง่ายและแรง รัส เซียเองนั้นกลายเป็นประเทศซ้ายจัดก็เกิดจากสถานการณ์ในประเทศเช่นเดียวกัน แต่เป็นเรื่องของปากท้องและความเป็นธรรมที่คนรัสเซียต้องประสบซึ่งอาจจะรวม ถึงการ “กดขี่” ของผู้ปกครองจากระบอบการปกครองของซาร์ที่ไม่ยอมผ่อนตามความต้องการของคนโดยเฉพาะกรรมกรในเมือง ดังนั้น เมื่อเกิดการปฏิวัติประชาชน ระบอบการปกครองหลังจากนั้นจึงเป็นซ้ายจัด ซึ่งแน่นอน ต้องกลายเป็นระบอบเผด็จการเช่นเดียวกับเยอรมันที่ก็ต้องเป็นเผด็จการไม่น้อยไปกว่ากัน
การเมืองไทยเองนั้น ความคิดหรืออุดมการณ์ทางการเมืองแบบ ขวา-ซ้าย ผมคิดว่ามีมาหลายสิบปีตั้งแต่สมัยที่จีนเป็นประเทศสังคมนิยมใหม่ ๆ และ “ส่งออก” แนวความคิดมาที่ประเทศไทยผ่านพรรคคอมมูนิสต์ไทย แต่แนวความคิดแบบ ซ้าย-ขวา ที่มีการเผยแพร่และแสดงออกอย่างกว้างขวางนั้นน่าจะเริ่มหลังจากเหตุการณ์ 14 ต.ค. 2516 ที่นักศึกษาเป็น “หัวหอก” ในการเสนอแนวความคิดนี้ และเมื่อความคิดแบบซ้ายเปิดตัวออกมา โดยธรรมชาติ ความคิดแบบขวาก็ออกมาตอบโต้ สุดท้ายอย่างที่เราทราบกัน ประกอบกับเหตุผลทางสภาพแวดล้อมทางการเมืองและสังคมระดับโลกที่เริ่มไม่เน้นในเรื่องของอุดมการณ์แต่สนใจเรื่องการ “ทำมาหากิน” มากกว่า อุดมการณ์ทางการเมืองของคนไทยก็ “เลือน” หายไป การเมืองไทยหลังจากนั้นก็เดินไป “ทางสายกลาง” เช่นเดียวกับประเทศส่วนใหญ่ของโลก
ผมไม่รู้ว่าเป็นเหตุผลใดแน่ชัด อาจจะเป็นเรื่องของ “อุบัติเหตุทางการเมือง” การเมืองไทยกลับเข้าไปอยู่ใน “ความขัดแย้ง” ที่อาจจะมีกลิ่นอายของการเป็น ขวา-ซ้าย อีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าในยุคนี้จะไม่มีใครเรียกแบบนั้น ความแตกต่างในครั้งนี้ก็คือ จำนวนคนที่เกี่ยวข้องดูเหมือนจะมากกว่าอดีตมาก อย่างไรก็ตาม อุดมการณ์ทางการเมืองดูเหมือนจะไม่สุดโต่งเท่า ว่าที่จริง อาจจะไม่มีแนวคิดอะไรที่จะเป็นเรื่องในระดับที่เรียกว่า “ปฏิวัติ” อะไรเลย ผมก็ได้แต่หวังว่าสถานการณ์ทางการเมืองของไทยจะไม่เลยเถิดจนคุกคามชีวิตและการลงทุนของนักลงทุนในตลาดหุ้นแม้ว่าลึก ๆ แล้ว ผมรู้สึกว่า การเมืองไทยในช่วงนี้ถือว่าเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งของการลงทุนที่ต้องจับตามอง เป็นความเสี่ยงที่ว่า การเมืองอาจจะสุดโต่งไปด้านใดด้านหนึ่งทั้ง ๆ ที่คนที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่ไม่อยากจะให้เป็นอย่างนั้น


DR.nivate

วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Jamaah Ikhwan Akan Dirikan Pusat Studi Islam di Mesir


Sabtu, 11/06/2011

Wakil Mursyid 'Aam Ikhwanul Muslimin Khairat al-Syatir mengatakan jamaah Ikhwan sedang mempersiapkan untuk mendirikan pusat studi Islam yang bertujuan untuk membantu membangun kembali Mesir berdasarkan prinsip-prinsip Syari'ah Islam.

"Ikhwan setelah revolusi ingin memainkan peran strategis setelah mereka terpinggirkan selama bertahun-tahun," kata Syatir selama simposium Rabu lalu. "Lebih dari 30.000 dari anggota Ikhwan dipenjara sejak tahun 1992 sampai Mubarak digulingkan.

"Kita akan berkoordinasi dengan semua kekuatan politik, termasuk kelompok Syiah dan Koptik," katanya, menambahkan bahwa pembangunan kembali negara itu harus berdasarkan pada prinsip-prinsip Syariah dan hal itu adalah tugas yang sulit.

Dia mengatakan bangsa ini membutuhkan sekolah-sekolah baru yang mengajarkan humaniora dengan referensi Islam dan tidak adanya aturan Islam dan yurisprudensi Islam telah merugikan bangsa Mesir. (fq/amay)

วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ครั้งแรก ทักษิณเปิดปากผ่านTheStraitsTimes พูดถึงมุสลิมภาคใต้ ยอมรับผิดพลาด

สำนักข่าวมุสลิมไทย ครั้งแรก ทักษิณเปิดปากผ่านTheStraitsTimes พูดถึงมุสลิมภาคใต้ ยอมรับผิดพลาด

สเตรทไทมส์ เปิดใจ “ทักษิณ”: กฎหมายหมิ่นทำให้สถาบันฯเสื่อม

โดย นิรมล โฆษ (Nirmal Gosh) ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์เสตรทไทมส์

ทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์นสพ.เสตรทไทมส์ มั่นใจชนะการเลือกตั้งอย่างสง่างาม มุ่งอยากกลับประเทศเพื่อแก้ไขความบอบช้ำ ขอโอกาสเพื่อให้ประเทศก้าวไปข้างหน้า ชี้ทหาร “พารานอย”มากเกินไป

29 พ.ค. 54 – อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์สเตรทไทมส์ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาที่ ประเทศดูไบว่า ความพยายามของรัฐบาลประชาธิปัตย์ในการสร้างแผนการปรองดองนั้นล้มเหลว และทำให้ประเทศแตกแยกมากขึ้น ขณะนี้จึงเป็นหน้าที่ของพรรคเพื่อไทยในการสร้างการปรองดองในชาติ และหวังว่าตนเองจะสามารถกลับประเทศไทยได้ เพื่อแก้ไขบาดแผลทางการเมืองของประเทศในช่วงห้าปีที่ผ่านมา แต่ถึงแม้ว่าจะกลับมาไม่ได้ ตนก็ยังอยากให้ประเทศไทยกลับสู่สภาวะปรกติ

“ความปรกติในความหมายของพรรคประชาธิปัตย์นั้นเป็นคนล่ะความหมาย เขาพยายามจะปรองดองมา 2 ปีครึ่งแล้ว แต่ก็ล้มเหลว ซ้ำยังทำให้ประเทศแตกแยกมากขึ้น เป็นคราวของเราแล้วที่จะต้องสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น” อดีตนายกกล่าว

ในระหว่างการสัมภาษณ์ที่ยาว 1 ชั่วโมง เขายอมรับว่าการกระทำที่รุนแรงต่อชาวมาเลย์มุสลิมในภาคใต้สมัยที่เขาเป็น นายกถือเป็นความผิดพลาด และกล่าวว่าการเป็นตำรวจนั้นทำให้ตนถูกสอนมาว่าต้องใช้ทั้งกำปั้นเหล็กและ ถุงมือกำมะหยี่ ซึ่งที่ผ่านมาได้ใช้กำปั้นเหล็กมากไป และเสียใจในสิ่งที่เคยทำ ทั้งนี้ ในอนาคตจะต้องเปลี่ยนแปลงไป

เขายังเสริมว่า พรรคเพื่อไทยจะรื้อฟื้นข้อตกลงกรณีพื้นที่ทับซ้อนบริเวณ 4.6 ตารางกิโลเมตรบริเวณใกล้กับเขาพระวิหารเพื่อพิจารณาถอนข้อตกลงดังกล่าว “เราควรมีการพูดคุยกัน ไม่ใช่เอะอะๆก็ส่งทหารเข้าไป ถ้าคุณมายิงใส่เพื่อนบ้านตัวเอง แล้วจะอยู่ด้วยกันอย่างสงบได้ยังไง ถ้าคุณใหญ่กว่าหรือรวยกว่า คุณก็ควรมีจิตใจที่ดีและเมตตาต่อคนที่จนกว่าและตัวเล็กกว่า” ทักษิณกล่าว

ถึงแม้จะมีการวิเคราะห์ว่าผลของการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคมจะค่อนข้าง สูสี โดยโพลล์สำรวจความคิดเห็นได้เผยว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะอย่างฉิวเฉียด แต่ทักษิณค่อนข้างมั่นใจว่าเพื่อไทยน่าจะชนะได้อย่างชัดเจน และเผยว่าตนเองได้ติดตามการหาเสียงในไทยอยู่ทุกวันและวางแผนยุทธศาสตร์การ เลือกตั้งอยู่เสมอ โดยดำเนินการจากบ้านหรูหราขนาดห้องนอน 7 ห้องในย่านหรูที่ดูไบ หรือบางทีก็จากเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว และรับข้อมูลความเคลื่อนไหวต่างๆจากนักการเมืองในประเทศไทย พร้อมกับปราศรัยผ่านทางโทรศัพท์ หรือ “โฟนอิน” ในการชุมนุมของคนเสื้อแดงและการปราศรัยของเพื่อไทยอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังพูดคุยทางโทรศัพท์จากกลุ่มฐานเสียงต่างๆด้วย


“ถึงเวลาที่เราจะต้องยึดมั่นในหลักการว่าเราเคารพในความคิดของประชาชน ...ถ้าคุณเรียกตัวเองว่าเป็นประชาธิปไตย คุณก็ต้องเคารพเจตจำนงของประชาชน แล้วสิ่งต่างๆก็จะดำเนินไปต่อได้เอง ผมไม่สนใจว่าใครจะว่าอะไร ไม่สนใจว่าผมจะได้กลับบ้านหรือไม่ ผมสนใจแค่ว่าเมื่อไหร่ที่ประเทศจะกลับสู่สภาวะปรกติได้เสียที”

เมื่อผู้สื่อข่าวเสตรทไทมส์ถามว่า คิดว่าเสถียรภาพหลังการเลือกตั้งของประเทศไทยจะขึ้นอยู่กับการเจรจามากแค่ ไหน เขาตอบว่า “ไม่มีอะไรดีไปกว่าการสานเสวนาอีกแล้ว”

เขากล่าวว่ามีบางก๊กบางฝ่ายติดต่อเข้ามาหาเขาหลังจากหมดอำนาจ เขาจึงให้ยิ่งลักษณ์เป็นตัวแทนในการเจรจาพูดคุย “ผมไม่ไว้ใจนักการเมืองคนไหนๆหรอก เพราะไม่มีความลับในหมู่นักการเมือง ผมจึงให้เธอเป็นคนไปพูดคุยกับพรรคการเมืองต่างๆ และทำงานในพื้นที่เยอะๆ ตอนนี้อยากเห็นประเทศไทยก้าวไปข้างหน้า ไม่หยุดอยู่ในสภาพเดิมๆ”

ว่าด้วยทหารกับการเมือง

“พวกทหารเกิดอาการวิตกจริตกันใหญ่เพราะมีข่าวว่าผมจะเปลี่ยนประเทศไทยให้ เป็นสาธารณรัฐ และตั้งตนเป็นประธานาธิบดี แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลย เมื่อคุณกลายเป็นผู้นำ คุณก็ต้องเข้มแข็ง ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆที่เป็นปัญหาเรื้อรังได้ และพอเมื่อคุณเข้มแข็งปุ๊บ ก็มีคนบอกว่าผมอยากเป็นประธานาธิบดี ซึ่งไร้สาระมาก และนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมเราถึงให้มีนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้หญิง เขาจะได้ไม่ต้องคิดว่าผู้หญิงจะสามารถทำอะไรเช่นนั้น”

ว่าด้วยนโยบายพรรค
“ก็มีความเหมือนและความต่างอยู่บ้าง เมื่อคุณเห็นคนกำลังกินปลา ไม่ว่าจะจากเพื่อไทยหรือประชาธิปัตย์ ปลาเหล่านั้นก็ดูเหมือนกัน แต่ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์แจกแต่ปลา แต่เราจะให้เบ็ดตกปลา และให้ประชาชนได้ตกปลาเองกินเอง และมีปลาจากทั้งแม่น้ำเอาไว้กินได้

ถ้าคุณดูการบริหารประเทศของพรรคประชาธิปัตย์ เขาต้องการเพียงแค่ผลประโยชน์ทางการเมือง แต่ของผมคือความสุขของประชาชนต้องมาก่อน และผลประโยชน์ทางการเมืองก็จะเป็นผลจากการที่พี่น้องประชาชนมีความสุข”

กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ “ทำให้เสื่อม”
ต่อประเด็นการฟ้องร้องและดำเนินคดีบุคคลจำนวนมากในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุ ภาพทักษิณกล่าวว่า “ทำให้สิ่งที่แย่อยู่แล้วเสื่อมลงไปอีก...หากว่าคุณเคารพและจงรักภักดีต่อ พระมหากษัตริย์ ต้องหยุดการแสดงความจงรักภักดีด้วยวิธีโง่ๆเช่นนี้”

และเมื่อถามว่าเขาเห็นด้วยหรือไม่กับการรณรงค์ให้ยกเลิกกฎหมายดังกล่าว เขาตอบว่า “ก็ถ้ามีอยู่แล้วไม่ได้ใช้แบบไม่จำเป็นล่ะก็...” ซึ่งสื่อว่าก็ไม่ได้เห็นด้วยเท่าใดนัก และยังเสริมว่า “ยิ่งคุณดำเนินคดีกับคนในข้อกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมากขึ้นเท่าใด ประชาคมนานาชาติและองค์กรสิทธิมนุษยชนก็จะเรียกร้องให้มีการยกเลิก(กฎหมาย นี้)มากขึ้นเท่านั้น”

เขาย้อนไปถึงสมัยที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรี เขาเล่าว่าเคยเกือบให้มีการจับกุมผู้วิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์คนหนึ่ง และในการเข้าเฝ้ากับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครั้งก่อน พระมหากษัตริย์ทรงตรัสว่า “ไม่อยากให้ใช้กฎหมายตัวนี้พร่ำเพรื่อ” อดีตนายกผู้ลี้ภัยสะท้อนว่า “ผู้ที่พยายามจะแสดงออกว่าเขาจงรักภักดีต่อกษัตริย์มากๆ และประกาศว่าจะเล่นงานคนที่แตะต้องสถาบันกษัตริย์นั้น เป็นการทำให้สิ่งที่แย่อยู่แล้วแย่ยิ่งขึ้น”

ต่อกรณีที่กองทัพบกได้เป็นผู้ยื่นฟ้องในกรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพรายล่าสุดนั้น ทักษิณกล่าวว่า ทหารมีหน้าที่หลักๆสองอย่าง อย่างแรกคือปกป้องอธิปไตยของชาติ อย่างที่สองคือปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ กองทัพต้องการแสดงความจงรักภักดีของตนเองโดยแสดงออกชัดแจ้งเกินไป ตนคิดว่าการกระทำดังกล่าวเป็นผลเสียต่อกองทัพและไม่ดีต่อสถาบันกษัตริย์เองด้วย

ที่มา: แปลและเรียบเรียงจาก
หนังสือพิมพ์เสตรทไทมส์ ฉบับวัันที่ 28 พฤษภาคม 2554

ที่มา ประชาไท

วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

2022 Jerman Bebas Nuklir



Senin, 30/05/2011

Kanselir Jerman Angela Merkel memutuskan Senin bahwa semua reaktor nuklir di negaranya Jerman ditutup pada tahun 2022.

Menteri Lingkungan Hidup Jerman Norbert Roettgen juga mengatakan bahwa tujuh reaktor nuklir yang sudah tua, segera akan ditutup, menyusul bencana nuklir yang terjadi di Jepang di bulan Maret yang lalu. Selain itu, Jerman juga akan menutup tiga dari reaktor Jerman terbaru ditutup tahun 2021, kata Roettgen. Sementara itu, sisanya akan ditutup setahun kemudian, tambahnya.

Roettgen mengatakan bahwa sengketa pajak yang nilainya mencapai 2,3 miliar euro, terkait bahan bakar batang nuklir tidak akan dihapus.

Pengumuman ini dibuat setelah negosiasi yang memakan waktu panjang antara pihak yang terkait dengan pengelola reaktor nuklir. Tapi keputusan itu masih bisa menghadapi penolakan yang kuat dari perusahaan-perusahaan pembuat reaktor nuklir. "Pasti itu akhir terhadap tiga pembangkit listrik tenaga nuklir yang baru, yang akan berakhir tahun 2022," kata Roettgen setelah pertemuan.

Pada tahun 2010, Merkel telah mendorong memperpanjang penggunaan 17 negara reaktor, yang dijadwalkan ditutup pada tahun 2036, tapi Merkel benar-benar merubah kebijakannya sesudah terjadi bencana nuklir Jepang.

Merkel mendapatkan dukungan kalangan partai Hijau dan kelompok lingkungan, tapi mendapatkan cemoohan dari oposisi dan daru partainya sendiri. Puluhan ribu orang berdemonstrasi menentang energi nuklir pada akhir pekan lalu di seluruh Jerman.

Kebijakan nuklir diperdebatkan di Jerman, dan isu itu membantu meningkatkan Partai Hijau, yang memenangkan salah satu negara bagian dari kubu CDU yaitu, Baden-Wuerttemberg, dalam pemungutan suara bulan Maret.

Mayoritas di Bundesrat yang mendukung Merkel, dimana negara-negara yang diwakili, menarik dukungan setelah CDU gagal memegang negara terpadat Rhine-Westphalia Utara. Kehilangan Baden-Wuerttemberg, suara diselenggarakan di bawah bayang-bayang krisis nuklir Fukushima, yang menjadi pukulan pemerintah Merkel.

Operator RWE terbesar di Jerman telah menyarankan mengakhiri semuanya tenaga nuklir pada tahun 2025, dan mengisyaratkan oposisi terhadap keputusan itu. Seorang juru bicara perusahaan mengatakan perusahaan itu akan tetap melakukan "semua pilihan hukum", ucapnya.

"Akhir (tenaga nuklir di Jerman) pada tahun 2022 bukanlah tanggal yang kami harapkan," kata juru bicara, menolak untuk mengomentari pengaruh keputusan terhadap pendapatan perusahaan. (mh/hrtz)

ข่าว ต่างประเทศ : เยอรมนีเลิกใช้พลังงานนุกปี65

31 พฤษภาคม 2554 - 00:00

เยอรมนีกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ชาติแรก ที่ประกาศแผนยุติการใช้พลังงานนิวเคลียร์ ภายหลังศึกษาบทเรียนโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะในญี่ปุ่น ที่เกิดวิกฤติสารกัมมันตรังสีเพราะภัยพิบัติ รัฐบาลผสมตั้งเป้าภายในปี 2565 ปิดโรงปฏิกรณ์เกลี้ยงทั้ง 17 แห่ง
"หลังจากหารือกันยาวนาน พรรคร่วมรัฐบาลก็ได้ข้อตกลงร่วมกันแล้วว่าจะยุติการใช้พลังงานนิวเคลียร์" นอร์เบิร์ต เริตต์เกิน รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม แถลงเมื่อเช้าวันจันทร์ ภายหลังตัวแทนพรรครัฐบาลผสมกลาง-ขวาของเยอรมนี ได้ร่วมปรึกษาหารือกันนานหลายชั่วโมง ที่สำนักงานนายกรัฐมนตรีของนางอังเกลา แมร์เคิล โดยเขายืนยันว่า การตัดสินใจครั้งนี้มีความชัดเจน เด็ดขาด และเห็นพ้องต้องกันทุกฝ่าย
เยอรมนีมีโรงปฏิกรณ์นิวเคลียร์ทั้งสิ้น 17 โรงทั่วประเทศ แต่ปัจจุบันเตาปฏิกรณ์ในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เก่าแก่ที่สุด 8 หน่วยได้ยุติการผลิตกระแสไฟฟ้าไปแล้ว ในจำนวนนี้ 7 โรงถูกสั่งปิดชั่วคราวนาน 3 เดือน ระหว่างรอการตรวจสอบความปลอดภัย สืบเนื่องจากความหวั่นวิตกภายหลังภัยพิบัติในญี่ปุ่นเมื่อเดือนมีนาคม ที่สร้างความเสียหายต่อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิจิ ส่วนโรงที่ 8 ซึ่งอยู่ทางเหนือของประเทศนั้น มีปัญหารุมเร้าทางเทคนิคและทำให้ถูกปิดใช้งานมานานหลายปี ตามแผนนั้นรัฐบาลต้องการให้ปิดโรงไฟฟ้าทั้ง 8 โรงนี้ต่อไปอย่างถาวร
โรงไฟฟ้าอีก 6 แห่ง ถูกกำหนดให้ปิดการผลิตภายในปี 2564 ที่เหลืออีก 3 โรงซึ่งสร้างใหม่สุด จะผลิตกระแสไฟฟ้าต่อไปจนถึงปลายปี 2565 โดยเริตต์เกินกล่าวว่า เพื่อเป็นกันชนด้านความปลอดภัย ป้องกันการขาดแคลนพลังงาน
การตัดสินใจของรัฐบาลผสม ที่นำโดยพรรคคริสเตียนเดโมแครตของแมร์เคิลครั้งนี้ ทำให้เยอรมนีกลายเป็นมหาอำนาจอุตสาหกรรมชาติแรกที่ประกาศแผนล้มเลิกการใช้พลังงานนิวเคลียร์อย่างสิ้นเชิง แต่แผนนี้ยังต้องรอความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งคาดว่าไม่น่ามีปัญหา เนื่องจากพรรคฝ่ายค้านทั้งโซเชียลเดโมแครตและพรรคกรีน ต่างก็ส่งตัวแทนเข้าร่วมการประชุมเมื่อวันอาทิตย์ด้วย
นอกจากนี้ รัฐบาลยังต้องวางแผนจัดหาพลังงานทางเลือกจากแหล่งอื่นๆ มาทดแทนพลังงานไฟฟ้าที่เคยได้จากโรงนิวเคลียร์ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 23 โดยความกังวลว่าอาจเกิดการขาดแคลนไฟฟ้าได้ ทำให้นักการเมืองบางรายเสนอให้รัฐบาลสงวนอนุมาตราที่อนุญาตให้ทบทวนแผนนี้ได้ในอนาคต แต่เริตต์เกินยืนยันว่า ที่ประชุมเห็นพ้องว่าจะไม่มีการทบทวนใหม่แน่นอน เขารับประกันด้วยว่า เยอรมนีจะไม่ประสบปัญหาขาดแคลนพลังงานไฟฟ้า
การตัดสินใจของรัฐบาลผสมครั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นไปตามคำแนะนำของ "คณะกรรมการจริยธรรม" ที่แมร์เคิลแต่งตั้งมาศึกษาแผนรองรับด้านพลังงาน ภายหลังเกิดวิกฤติโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของญี่ปุ่น แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการกลับลำอีกครั้งของรัฐบาลผสมชุดนี้ ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักและทำให้พรรครัฐบาลพ่ายการเลือกตั้งท้องถิ่นเมื่อเดือนมีนาคมในเขตสำคัญๆ
ทั้งนี้ ช่วงปลายปี 2553 นางแมร์เคิลเคยตัดสินใจยืดอายุการใช้งานโรงปฏิกรณ์ทั้ง 17 โรงออกไปเฉลี่ยราว 12 ปี หรือถึงกลางทศวรรษปี 2030 ซึ่งแผนนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน แม้กระทั่งก่อนเกิดแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์ถล่มญี่ปุ่น และทำให้นางต้องทบทวนนโยบายด้านพลังงาน.

ข่าวต่างประเทศ : โพลชี้คนญี่ปุ่น70%ซัด'คัง'สอบตก

31 พฤษภาคม 2554

ผลสำรวจชี้ชาวญี่ปุ่น 70% อยากเปลี่ยนผู้นำใหม่ แทนที่นายกฯ นาโอโตะ คัง และกว่าครึ่งต้องการให้เขาทำงานต่อจนกว่าจะแก้ไขวิกฤติได้เรียบร้อย
คัง ผู้มีคะแนนนิยมตกต่ำกว่า 30% กำลังพยายามแก้ไขวิกฤตินิวเคลียร์ ณ โรงไฟฟ้าฟุกุชิมะไดอิจิ รวมทั้งหาเงินทุนมาเพื่อก่อสร้างระบบต่างๆ ฟื้นฟูความเสียหาย จากเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิเมื่อวันที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมา แล้วยังต้องปฏิรูประบบภาษีและสวัสดิการ เพื่อควบคุมหนี้สาธารณะจำนวน 2 เท่าของจีดีพี
พรรคเสรีนิยมประชาธิปไตย (แอลดีพี) ที่ทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านในสภา ประกาศในสัปดาห์ที่แล้วว่า จะทำการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเพื่อกดดันให้คังลาออก หรือยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ ส.ส.แกนนำพรรคแอลดีพีระบุว่า อาจมีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจภายในสัปดาห์นี้หรือสัปดาห์หน้า โดยพรรคฝ่ายค้านทุกพรรคให้การสนับสนุนการยื่นอภิปราย ยกเว้นพรรคสังคมประชาธิปไตย
อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าแอลดีพีจะสามารถเอาชนะจำนวน ส.ส.ของพรรคประชาธิปไตย (ดีพีเจ) ของคังได้ นอกจาก ส.ส.จำนวน 70 จากทั้งหมด 305 ที่นั่งของพรรคดีพีเจ จะแปรพรรคมาร่วมฝ่ายค้านแทน
นักวิเคราะห์มองว่า พรรคแอลดีพีไม่ได้ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนรัฐบาลในทันที ศาสตราจารย์โคอิจิ นาคาโนะ แห่งมหาวิทยาลัยโซเฟีย ชี้ว่า นี่เป็นเพียงความพยายามจู่โจมพรรคดีพีเจ แล้วหวังว่าจะเกิดกระแสความเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้นมาเท่านั้น
ผลสำรวจความคิดเห็นโดยหนังสือพิมพ์เศรษฐกิจ นิกเคอิ ชี้ว่าผู้ตอบแบบสำรวจ 70% ต้องการเปลี่ยนนายกฯ แต่กว่า 49% ยังต้องการให้คังอยู่ในตำแหน่ง จนกว่าเขาจะสามารถแก้ไขวิกฤตินิวเคลียร์ ดำเนินการฟื้นฟูความเสียหายจากภัยพิบัติ อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาอาจต้องใช้เวลานาน และผู้เชี่ยวชาญต่างไม่ไว้ใจว่า บริษัทเทปโกจะมีศักยภาพมากพอแก้ไขปัญหาได้ทันเดือนมกราคมปีหน้า
โพลล์สำรวจความคิดอีกชิ้นหนึ่ง จัดทำโดยเครือโทรทัศน์ฟูจิ ชี้ว่าผู้ตอบแบบสำรวจ 85% มองว่าเทปโกรับมือวิฤติโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะได้แย่มาก และผู้ตอบแบบสำรวจจำนวน 81% ไม่ไว้ใจข้อมูลข่าวสารของรัฐบาล และอีก 78% มองว่าคังไม่มีความเป็นผู้นำมากพอในการรับมือวิกฤติภัยพิบัติ.

วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Utusan Obama untuk Konflik Israel-Palestina Mengundurkan Diri



Rabu, 18/05/2011

Setelah dua tahun bertugas sebagai utusan khusus pemerintahan Barack Obama untuk menyelesaikan konflik Israel-Palestina, George Mitchell mengundurkan diri.

Dalam surat pengunduran diri sepanjang dua paragraf yang dikirim ke Presiden Obama, Mitchell mengatakan bahwa ia memang sudah berniat untuk menerima tugas diplomatik itu selama dua tahun saja. "Saya sangat mendukung visi Anda tentang perdamaian yang komprehensif di Timur Tengah, dan saya berterima kasih telah diberi kesempatan untuk menjadi bagian dari pemerintahan Anda," tulis Mitchell pada Obama, dalam suratnya.

Presiden Obama menyatakan menerima pengunduran diplomat AS yang sekarang berusia 77 tahun. Ia menyebut Mitchell sebagai mediator kawakan yang "tak kenal lelah untuk menciptakan perdamaian". Mitchell juga dikenal dengan kesuksesannya memediasi pertikaian antara kelompok Katolik dan Kristen di Irlandia Utara.

Pengunduran diri Mitchell berlaku efektif mulai tanggal 20 Mei lusa, bersamaan dengan jadwal kunjungan Perdana Menteri Israel Benjamin Netanyahu ke Gedung Putih. Menteri Luar Negeri AS Hillary Clinton sudah meminta David Hale, deputi utusan Timur Tengah, untuk menjalankan sementara tugas-tugas Mitchell sampai pejabat pemerintah menemukan pejabat yang pas untuk menggantikan posisi Mitchell.

Sejak penunjukkannya menjadi utusan pemerintahan Obama untuk Timur Tengah, Mitchell menghabiskan waktu dan tenaganya untuk melakukan pendekatan pada Israel, Palestinia dan negara-negara Arab lainnya, dalam upaya mencari jalan tengah konflik Israel-Palestina. Tapi beberapa bulan belakangan ini, seiring dengan maraknya gerakan revolusi rakyat di beberapa negara Arab, dan puncaknya adalah tumbangnya pemerintahan Husni Mubarak di Mesir, aktivitas Mitchell agak tersendat.

ทำงานนั่งโต๊ะนาน ๆ เสี่ยงมะเร็งลำไส้




ผู้คนนับล้านที่นั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวันตลอดเวลา 10 ปี มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่าที่จะเป็นมะเร็งลำไส้ และนักวิจัยยังพบด้วยว่า แม้ไม่ได้ทำงานอยู่กับที่อย่างเดียว แต่ยังมีการไปออกกำลังกายหรือเข้าสปอร์ตคลับด้วย ความเสี่ยงนี้ก็ยังสูงขึ้น 2 เท่า

รายงานซึ่งตีพิมพ์ใน American Journal of Epidemiology ชิ้นนี้ ได้ชี้ถึงอันตรายของการทำงานนั่งโต๊ะครั้งละนาน ๆ เป็นเวลาหลายชั่วโมง โดยนักวิจัยยังได้ยืนยันข้อค้นพบก่อนหน้านี้ที่ว่า ผู้ชายที่นั่งทำงานทั้งวันมีโอกาสเพิ่มขึ้น 30% ที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก เมื่อเทียบกับคนที่ทำอาชีพซึ่งต้องเคลื่อนไหวไปโน่นมานี่

แต่ละปีในอังกฤษมีคนไข้มะเร็งลำไส้กว่า 37,500 ราย ซึ่งโรคนี้มีอัตราการเสียชีวิตสูง คือ ประมาณปีละ 16,000 ราย เพราะผู้คนจำนวนมากไม่ใส่ใจสัญญาณเตือนล่วงหน้า และไปหาหมอเมื่อมะเร็งได้ลุกลามแล้ว

ปัจจัยเสี่ยงอันดับต้น ๆ ของโรคนี้ คือ อาหารที่มีไขมันสูง เนื้อแดง และการไม่ออกกำลังกาย แต่ผลวิจัยล่าสุดของผู้เชี่ยวชาญของมหาวิทยาลัยเวสเทิร์นออสเตรเลีย บอกว่า การนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานานในแต่ละวันก็เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญด้วย แม้แต่คนที่ได้ออกกำลังกายในยามว่าง

โดยผลการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ในสหรัฐยังพบว่า พวกผู้ใหญ่มักใช้เวลาราว 55% นั่งทำงานอยู่กับโต๊ะ ขณะที่นักวิจัยชาวออสเตรเลียได้ศึกษาคนไข้โรคมะเร็งลำไส้จำนวน 918 คน โดยเปรียบเทียบลักษณะการทำงานของคนเหล่านี้กับอาสาสมัครที่ไม่ได้เป็นมะเร็ง 1,021 คน โดยสอบถามประวัติการทำงาน การใช้ชีวิต และการทำกิจกรรมต่าง ๆ พบว่า คนที่ทำงานนั่งโต๊ะเป็นเวลา 10 ปีขึ้นไปมีโอกาสสูงขึ้น 94% ที่จะเกิดเนื้องอกในบริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ซึ่งเชื่อมกับทวารหนัก นอกจากนี้ นักวิจัยยังพบด้วยว่า การทำงานอยู่กับที่ในช่วงเวลา 10 ปี เพิ่มโอกาสของการเป็นมะเร็งทวารหนัก 44%

ผู้ศึกษาบอกว่า การทำกิจกรรมยามว่างไม่สามารถป้องกันอันตรายของการทำงานนั่งโต๊ะเป็นเวลานานได้
การนั่งทำงานนาน ๆ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น และส่งผลเสียต่อการผลิตอินซูลิน ทั้งสองปัจจัยนี้ทำให้เกิดมะเร็งลำไส้และการอักเสบภายในร่างกาย ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของเนื้องอก

ด้าน พญ.แคลร์ ไนต์ แห่งศูนย์ศึกษามะเร็งแห่งสหราชอาณาจักร บอกว่า ผลวิจัยนี้ยืนยันข้อค้นพบก่อนหน้านี้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการขาดกิจกรรมทางกายภาพกับมะเร็ง แต่งานวิจัยนี้จำเป็นต้องทำซ้ำโดยใช้กลุ่มตัวอย่างให้มากขึ้น เพื่อความน่าเชื่อถือของผลวิจัย

อย่างไรก็ดี คุณหมอบอกว่าการออกกำลังกายแม้เพียงเล็กน้อยก็เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ยิ่งออกกำลังกายมากก็ยิ่งช่วยลดโอกาสเสี่ยงต่อมะเร็ง และช่วยควบคุมน้ำหนักตัว ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งได้หลายชนิด

วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Gaddafi: Serangan NATO Tidak Bisa Membunuh Saya



Sabtu, 14/05/2011
Muammar Gaddafi kembali membuat kejutan. Beberapa saat setelah pernyataan sepihak menlu Italia yang menegaskan jika Gaddafi telah meninggalkan Tripoli dan kemungkinan terluka karena serangan NATO, tiba-tiba Gaddafi "muncul" di stasiun televisi pemerintahannya.

Gaddafi muncul dalam rekaman suara dan disiarkan oleh televisi pemerintah Libya pada Jum'at (13/5) kemarin. Dalam rekaman tersebut, Gaddafi mengatakan jika dirinya baik-baik saja dan masih tetap berada di Libya. Namun, ia berada di tempat yang tidak bisa dicapai oleh siapa pun.

"Saya katakan kepada para pengecut, jika saya masih berada di negara saya, di sebuah tempat yang kalian tidak akan mungkin kalian bisa mencapainya!" kata Gaddafi dalam rekaman suara tersebut.

Sebelumnya, pihak Italia menyatakan jika Gaddafi telah meninggalkan Tripoli atau bisa jadi terluka parah pasca penyerangan militer NATO beberapa hari lalu.

Ditegaskan oleh Gaddafi, pihak revolusioner atau pun NATO tidak akan bisa membunuhnya. "Jikalau kalian mampu membunuh jasadku, maka kalian tidak akan pernah membunuh jiwaku, ruhku, yang senantiasa hidup di hati jutaan rakyatku," tambah Gaddafi.